Sunday, April 12, 2015

คนเลี้ยงไก่

มีคนเลี้ยงไก่ 2 คน
คนที่ 1 ทุกเช้าจะเอาตะกร้า เข้าไปใน โรงเรือนเลี้ยงไก่
แล้วก็ เก็บ “ขี้ไก่” ใส่ตะกร้ากลับบ้าน!! แล้วทิ้งไข่ไก่ ให้เน่าไว้ในโรงเรือน
เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่ง ไปด้วยกลิ่นขึ้ไก่ !!!
คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็น!!!

คนเลี้ยงไก่คนที่ 2 เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่
เก็บ ไข่ไก่ ใส่ตะกร้าเอากลับบ้าน เขาเอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน
คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือ เขาก็เอาไปขาย แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน
ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก…..

ในชีวิตของเรา พวกเรา เป็นคนเก็บ “ไข่ไก่ ” หรือ เก็บ”ขี้ไก่”

เราเป็นคนเก็บ “ขี้ไก่” โดยเฝ้าแต่เก็บ เรื่องร้ายๆ แย่ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราไว้ในหัวของเรา
และมีความทุกข์ตลอดเวลาที่คิดถึงมัน!!!

หรือเราเป็นคนที่เก็บ”ไข่ไก่” เราจดจำสิ่งที่ดีๆที่เกิดในชีวิตของเรา
และมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน!!

คน เราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ “ขี้ไก่”
เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจฯลฯ
มักจะติดอยู่ในใจของเรานานเท่านาน

ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต เลือกเก็บ”ไข่ไก่” กับชีวิต

ทิ้ง “ขี้ไก่” ไปเถอะ
ชีวิตของเราจะได้มีความสุขซักที…

นิทานสอนใจ เรื่อง คนเลี้ยงไก่ จาก หลวงพ่อชา

Wednesday, March 25, 2015

เมื่อท่านผู้เฒ่า “ลี” สอนวิธีชราอย่างมีคุณภาพ

ประวัติอดีตผู้นำสิงคโปร์
ถึงแก่อนิจกรรมวัย 91ปี เมื่อเช้ามืด 23 มีนาคม 2558
นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ปกครองมา 31 ปี
จนมาถึงลูกชาย เป็นนายกปัจจุบันคนที่ 3 ของสิงคโปร์

ลี กวน ยู............



เมื่อท่านผู้เฒ่า “ลี”
สอนวิธีชราอย่างมีคุณภาพ

 เพราะเคยมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตผิดมานาน เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์  ลี กวน ยู  จึงหยุด

อดีตนายก ฯ สิงคโปร์  ลี กวน ยู  ปีนี้อายุ 87  แต่สุขภาพยังฟิตเปรี๊ยะ เพราะดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเคร่งครัด แกเล่าว่า ครั้งหนึ่งตอนยังหนุ่มแน่นและเป็นนักการเมืองเต็มตัว ก็เคยใช้ชีวิตที่เป็นโทษกับสุขภาพของตนอย่างยิ่งเช่นกัน กินเหล้า สูบบุหรี่ อย่างหนักหน่วงมาก่อน            
           
ลีเล่าว่า ตอนอายุ 34 ต้องหาเสียงอย่างร้อนแรง คืนที่ชนะเลือกตั้ง ทั้งสูบบุหรี่ ทั้งดื่มเบียร์เต็มอัตรา พอจะขึ้นเวทีปราศรัยขอบคุณประชาชน ปรากฏว่าเสียงหาย
       
ได้เสียงมากพอที่จะชนะเลือกตั้ง แต่เสียงจากลำคอแห้งเหือดไปหมด เพราะบุหรี่และเหล้าตัวดี (แปลว่าตัวร้าย) นี่แหละ  “ผมหลอกตัวเองด้วยการซื้อบุหรี่ซองละ 10 มวน...แต่ผมต้องปราศรัย 3 แห่งในคืนเดียวกัน  ก็จึงสูบไป 30 มวนอยู่ดี....” นายลีเล่าให้สมาคมผู้สูงอายุฟังเมื่อไม่นานมานี้
         
 มาถึงจังหวะหนึ่งของชีวิต นายลีบอกว่าสุขภาพของเขาย่ำแย่ถึงขั้นที่เขาต้องตัดสินใจว่าจะเป็นนักการเมืองและทนายความที่ดีต่อไปได้หรือไม่ สองอาชีพนี้ต้องใช้เสียงด้วยกันทั้งนั้น
         
 “ผมบอกตัวเองว่า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือทนาย ผมก็ต้องรักษาเสียงผมไว้ ผมจึงตัดสินใจเลิกบุหรี่...”  นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะลีสารภาพว่าเขาติดบุหรี่งอมแงม บางคืนฝันร้ายว่ากลับไปสูบบุหรี่อีก ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกก็บ่อย แต่พลังของความเด็ดเดี่ยวที่จะต้องเลิกบุหรี่นั้นมาจากการตอบคำถามตัวเองว่า จะทำอาชีพของตัวเองให้ได้ดีต่อไปหรือไม่ ถ้าจะทำงานให้ดีต้องหยุดบุหรี่ และต้องหยุดอย่างเด็ดขาด ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ได้ ตอนนั้น ลียังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งกับการสูบบุหรี่ จึงยังไม่มีความกลัวตายนัก
         
แต่แปลกมากที่หลังจากนั้น ลี ก็เกิดอาการแพ้ควันบุหรี่อย่างหนักหน่วง เรียกว่าใครสูบบุหรี่ใกล้ ๆ ไม่ได้เลย “ผมต้องขอให้รัฐมนตรีไม่สูบบุหรี่ในห้องประชุม ถ้าจะสูบก็ขอให้ไปสูบนอกห้อง เพราะผมแพ้มันจริง...”
         
วันหนึ่ง ลี อยู่ที่บ้านของเพื่อนซี้ชื่อราชารัตนัม และกำลังพูดคุยกับนักข่าวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งซึ่งรวมถึงนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ ลอนดอนไทมส์ พอถ่ายรูปร่วมกัน ลี เห็นรูปของตัวเองพร้อมกับพุงที่ยื่นออกมาอย่างน่าเกลียด “ผมบอกตัวเองทันทีที่เห็นรูปนั้นว่า ไม่ไหว เพราะมันเป็นพุงที่ยื่นออกมาด้วยฤทธิ์ที่ดื่มเบียร์มากเกินไป” ลี กวน ยู ตัดสินใจปฏิบัติการ “ลดพุง” ด้วยการหันไปเล่นกอล์ฟ...เริ่มด้วยการหวดลูกกอล์ฟเป็นร้อย ๆ ครั้งต่อวัน แต่พุงก็หาได้ลดลงไม่ แกจึงบอกตัวเองอีกรอบว่า ถ้าจะให้หุ่นดี ต้องลดการบริโภค และต้องเผาผลาญจากร่างกายให้มากกว่านี้

วันหนึ่งหลังการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1976  ลี บอกว่ารู้สึกเหนื่อย จึงไปยืนที่สนามของทำเนียบนายก ฯ พยายามหายใจลึก ๆ ยาว ๆ ลูกสาวลีคนหนึ่งที่เพิ่งจบวิชาแพทย์มาเห็นเข้าก็ถามว่า “พ่อทำอะไรอยู่” แกตอบว่า “พ่อพยายามจะสูดออกซิเจนเข้าไป”  ลูกสาวตอบสวนกลับมาทันทีว่า “ถ้างั้น พ่อต้องไม่เล่นกอล์ฟ ต้องหันไปวิ่ง ต้องออกกำลังกายแบบแอโรบิก...”
         
ตอนแรก ลี ใช้วิธีเดินเร็ว ๆ ระหว่างหลุมกอล์ฟ ต่อมาก็วิ่งระหว่างหลุม รู้สึกร่างกายจะตอบสนองดี หลังจากนั้นไม่นาน ลี ก็ตัดสินใจออกกำลังกายด้วยการวิ่งหลังการตีกอล์ฟ  อีกไม่กี่ปีต่อมา ลี ก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า การตีกอล์ฟกินเวลายาวนานเกินไป ออกกำลังกายด้วยการวิ่งกินเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น แกจึงเลิกตีกอล์ฟ หันมาวิ่งอย่างเดียว
         
ลีบอกว่า ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะมีอายุถึง 84 หรือ 85  คุณแม่เสียตอนอายุ 74  แต่คุณพ่อจากไปตอน 94 เพราะคุณพ่อว่ายน้ำทุกวันและหาเรื่องทำตลอดเวลา “ดังนั้น ผมจึงคำนวณเอาเองว่า ผมควรจะมีอายุยาวนานถึงตรงกลางระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ “ ตอนอายุ 73 ขณะที่ขี่จักรยาน ลี รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นไปถึงคอ วันรุ่งขึ้น ถีบจักรยานอีก อาการหนักขึ้นหลังจากเริ่มต้นได้ 5 นาที แกให้หมอตรวจก็พบว่า เส้นโลหิตบางเส้นตีบ ต้องใส่บอลลูนหัวใจ “ถ้าผมไม่รีบไปให้หมอหัวใจตรวจ  สงสัยอาจจะม่องเท่งตอน 74 แล้วก็ได้ เหมือนแม่ผม...” เส้นตายเส้นต่อไปคืออายุ 84 ซึ่งเป็นปีที่คุณพ่อหกล้มจนต้องนั่งรถเข็น
       
“ผมต้องระวัง เพราะบางทีถ้าผมหมุนตัวเร็วไปหน่อย จะเกิดอาการเวียนหัว หน้ามืด

จึงต้องทำอะไรช้าลง เพราะประสาทของคนวัยทองเริ่มจะเสื่อมถอยลง”

 ลี กวน ยู  แนะนำคนชราแห่งสิงคโปร์ว่า จะต้องไม่แยกตัวเองไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว

เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องการมีอะไรมากระตุ้นตลอดเวลา และต้องพบปะผู้คน ต้องคอยติดตามเรื่องราวของสังคมและโลก
         
“ผมไม่ค่อยชอบเดินทางเท่าไร

แต่ผมก็บังคับตัวเองให้ไปโน่นมานี่ในตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของหลายบริษัท เช่น ธนาคารและบริษัทน้ำมัน

ผมไปจีน ไปอินเดีย...ได้พบปะ ได้ประชุม ได้ฟังคำบรรยายสรุป

จะได้รู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว...มิฉะนั้น ผมว่าเราจะเหี่ยวเฉาแน่หากนั่งนอนอยู่กับบ้านและไม่คบหาผู้คน...”
       
ลีบอกว่า ที่สำคัญสำหรับคนอายุมากขึ้นคือ ต้องมีความสนใจอะไรเป็นพิเศษ

“ถ้าคุณอายุ 55 และบอกตัวเองว่าจะเกษียณเพื่ออ่านหนังสือ เล่นกอล์ฟ และดื่มไวน์

ผมว่าคุณเสร็จแน่ ๆ  !

เพราะหลังจากสองสามเดือน คุณจะเริ่มเบื่อ ไม่มีอะไรทำ

ไม่มีเป้าหมายในชีวิต คุณจะเริ่มเหี่ยวทั้งร่างกายและหัวใจ..

"ดังนั้น คำแนะนำจากท่านผู้อาวุโสของสิงคโปร์ก็คือ ต้องหาเรื่องที่ตนเองสนใจมาทำ และต้องหาอะไรท้าทายตัวเองตลอดเวลา
         
“ทุกวันนี้ พอใครมาบอกผมว่า อายุ 60 แล้ว กำลังจะเกษียณ

จะไม่ทำอะไรแล้ว ผมถามเขาว่า คุณอยากตายเร็วหรือไง”

แกฝากบอก สว. หรือคนสูงวัยทั้งหลายว่า  “ถ้าคุณต้องการเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้

คุณต้องหาเหตุผล ต้องมีอะไรมากระตุ้นให้คุณต้องการจะใช้ชีวิตที่สนุกสนานต่อไปเรื่อย ...

ไม่ใช่พักผ่อนนอนหลับอย่างเดียว...อย่างนี้เท่ากับรอวันตายเท่านั้น  !



 (โดย สุทธิชัย  หยุ่น)

Tuesday, March 17, 2015

ข้อเท็จจริงของเรื่องโทษไขมันอิ่มตัวกับโรคต่างๆ

วันนี้มีหมอผู้มีประสบการณ์ตรงออกมาเป็นพยานและแนวร่วมอีกท่านหนึ่ง (นอกเหนือจาก นายแพทย์ Stephen Sinatra , Julian Whitaker , Mark Hyman , Mehmet Oz ฯลฯ ที่ได้เป็นเถวหน้าออกมาช่วยกันเผยแพร่ความเป็นจริงที่สั่นสะเทือนวงการแพทย์กระแสหลัก  ที่มีความเชื่อผิดมากว่า 60 ปี)

นายแพทย์ Dr. Dwight Lundell อดีตเป็นหัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัดที่ Banner Heart Hospital , Mesa , AZ.สหรัฐอเมริกา เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือด มากว่า 25 ปี เคยผ่าตัดหัวใจมามากกว่า 5,000 ราย ผ่าตัดหลอดเลือดเลี่ยงหัวใจ (bypass)  มาหลายหมื่นเส้น ประสบการณ์ขนาดนี้เราคงไม่ปฏิเสธว่าท่านมีประสบการณ์ตรงไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการในหอคอยงาช้างเป็นแน่

“แต่ในวันนี้ผม (Dr. Dwight Lundell) ขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และขออภัยอย่างที่สุดเพื่อออกมาสารภาพผิดกับท่านทั้งหลายว่า ความเชื่อของผมและเหล่าบรรดาแพทย์ร่วมทีมของผมเกี่ยวกับสาเหตุตลอดจนการจัดการการรักษาโรคหัวใจที่กระทำตลอดมานั้นไม่ถูกต้อง วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดให้ถูกต้องเสียที ผมต้องยอมรับว่ากระบวนการเรียนการสอน งานวิจัย สัมมนาวิชาการ วิทยานิพนธ์สารพัดที่ผมได้ใช้เป็นแนวทางการวินิจฉัยสาเหตุโรคหัวใจและหลอดเลือด และการรักษาที่ผ่าน ๆ มานั้นไม่ถูกต้อง”

“ ครับเป็นเวลากว่า 60 ปีที่วงการแพทย์ต่างหลงเชื่อว่าสาเหตุการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว ดังนั้นหมอโรคหัวใจอย่างพวกผมจึงเพ่งเล็งการรักษาไปที่การทานยาลดคลอเลสโตรอลร่วมกับลดหรืองดการบริโภคไขมันอิ่มตัว แต่จากหลักฐานที่ปรากฏชัดมากขึ้นไมกี่ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าความเชื่อข้างต้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นความจริง และไม่ควรเชื่ออีกต่อไป “

“ ชัดเจนมากว่าการอักเสบภายในผนังหลอดเลือดต่างหากที่เป็นตัวการที่แท้จริงทำให้หลอดเลือดตีบตัน โรคหัวใจ โรคร้ายแรงเรื้อรังอีกสารพัด”

Dr. Dwight Lundell ได้เรียบเรียงไว้ให้เข้าใจ เพื่อจะได้เผยแพร่ต่อๆ กันไปได้ง่ายขึ้น

1. จากการที่วงการแพทย์มีความเชื่ออย่างผิดๆ ดังกล่าว มีผลให้วงการโภชนาการตลอดระยะ 60 ปีที่ผ่านมาเดินผิดทางไปหมด  อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการที่เดินผิดทางได้สร้างประชากรโลกที่เต็มไปด้วยโรคอ้วน เบาหวาน และโรคเซลล์เสื่อมอีกสารพัดโรค สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเศรษฐกิจอย่างไม่สามารถประเมินได้ทีเดียว นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษยชาติ

2. ทั้งๆ ที่มีประชากร (โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา) ประมาณ 25% ที่ทานยาลดไขมันกลุ่ม statin ราคาแพงๆ และมีสารพัดอาหาร Low fat , Fat free มีการลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวกันอย่างมากมาย แต่ผลลัพธ์กลับเป็นว่า มีประชากรเสียชีวิตอันเนื่องจากโรคหัวใจภายในรอบเวลา 60 ปีนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อมูลของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา รายงานว่า มีผู้ป่วยโรคหัวใจกว่า 75  ล้านคน มีผู้ป่วยเบาหวานกว่า 20 ล้านคน มีผู้ป่วยใกล้จะเป็นเบาหวาน (pre-diabetes) กว่า 57 ล้านคน  ในขณะที่มีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มป่วยด้วยโรคเหล่านี้ล้วนมีอายุน้อยลงๆ (เป็นโรคกันตั้งแต่เด็ก)  มีคำถามตัวโตๆ ว่าทำไม??

3. คำตอบที่ง่ายๆ สั้นๆ ที่สุดก็คือ หากไม่มีการอักเสบในร่างกาย ก็ไม่มีทางที่คลอเลสโตรอลจะจับเป็นตะกรันอุดตันในหลอดเลือดได้ หากไม่มีการอักเสบคลอเลสโตรอลก็จะไหลลื่นไปตามหลอดเลือดได้อย่างเสรี การอักเสบนี่แหละที่ทำให้คลอเลสโตรอลต้องกลายพันธุ์เป็นตะกรันจับยึดติดภายในหลอดเลือด !!!

4. การอักเสบไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร มันคือขบวนการปกติของร่างกายเพื่อต่อสู้รับมือกับสิ่งแปลกปลอมที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย เช่นเชื้อโรค ไวรัส พิษต่างๆ  แต่เมื่อใดก็ตามขบวนการอักเสบควบคุมผู้รุกรานไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้รุกรานที่เกิดจากพิษ ร้ายในอาหารการกินที่เซลล์ของร่างกายไม่คุ้นเคย กำจัดไม่ได้ จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง  (ซ้ำแล้วซ้ำเล่า)  การอักเสบเรื้อรังนี่แหละคืออันตรายอย่างแท้จริง

5. พิษร้ายในอาหารการกินที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังมากที่สุดก็คือ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน  (polyunsaturated fats)  ที่อยู่ในน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี เช่น  น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ และน้ำตาลสูงๆ ในแป้งขัดขาวและอาหารคาร์โบไฮเดรตทั้งหลายนั่นเอง ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่ม ขนม ได้นำน้ำมันพืชและน้ำตาลไปปรุง เจือปน เป็นส่วนประกอบกันอย่างมโหฬาร ตลอดเวลา 60 ปีที่ผ่านมา

6. ท่านอาจไม่เคยเห็นสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบเหมือนที่ผมเห็นและทำการผ่าตัดมาหลายหมื่นเส้นตลอด 25 ปีที่ผ่านมา  แต่ผมพอจะเทียบเคียงง่ายๆ โดยให้ท่านหาแปรงสีฟันขนแข็งๆ อันหนึ่งแล้วก็ถูไปมาบนผิวนุ่มๆ บริเวณท้องแขน ถูไปมาจนค่อยๆ แดง เลือดซิบๆ  นั่นแหละสภาพผนังหลอดเลือดที่อักเสบก็คล้ายกันคือ ช้ำๆ เลือดซิบๆ นานๆ เข้า หากยังคงอักเสบต่อเนื่องเลือดก็จะมาคั่งมากขึ้นจนบวม จนเลือดอาจทะลักมาตามแผลที่แตก

7. ผนังหลอดเลือดที่อักเสบนั้นไม่ได้ถูกแปรงใดๆ ไปขัดถู แต่เนื่องจากร่างกายเรามีระบบควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ภายในระดับที่คงที่ ไม่เกินโควต้า (ในเลือดของคนปกติไม่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลลอยปนในกระแสเลือดไม่เกิน 6-7  กรัมแล้วแต่ขนาดตัวและปริมาณเลือดในร่างกาย)  ทันทีที่เราทานอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลปริมาณที่มากเกินโควต้า ฮอร์โมนอินซูลินจะรีบทำการขนน้ำตาลที่ทะลักเข้าสู่กระแสเลือดไปเก็บไว้ในเซลล์ก่อนที่จะแปลงสภาพเก็บในรูปของไขมัน แต่หากน้ำตาลภายในเซลล์มีพอเพียงอยู่แล้ว อินซูลินก็ต้องหาทางรีบขับหรือกำจัดออกจากร่างกายต่อไป  น้ำตาลที่เป็นส่วนเกินในกระแสเลือดจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีนหลายๆ ชนิดในเลือด กลายสภาพเป็นตัวทำร้ายผนังหลอดเลือดให้อักเสบ การทานน้ำตาลมากวันละหลายๆ มื้อจึงเสมือนกับการเอาแปรงไปขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนอักเสบเรื้อรังวันแล้ววันเล่า ผมอยากจะย้ำๆ กับท่านว่าผมซึ่งผ่าตัดหัวใจมากว่า 5,000  คน ผ่าตัดเส้นเลือดมาหลายหมื่นเส้น  ภาพการอักเสบเรื้อรังในหลอดเลือดมันติดตาผมว่าไม่ได้แตกต่างจากภาพที่ท่านเห็นหลังจากเอาแปรงขนแข็งขัดถูผิวหนังนุ่มบอบบางจนช้ำ จนเลือดไหลซิบๆ จนบวมปูด เลือดไหลแต่อย่างใด ต่างกันเพียงว่าน้ำตาลที่ทานเข้าไปวันละหลายๆ มื้อ หลายๆปีนี่แหละเสมือนกับแปรงที่ค่อยๆ ขัดถูผนังหลอดเลือดจนถลอกปอกเปิก อักเสบเรื้อรัง

8. นอกจากน้ำตาลแล้วกลับมาพูดถึงน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ  โดยธรรมชาติผนังหุ้มเซลล์ต่างๆ ของร่างกายนั้นมีส่วนประกอบหลักทำด้วยไขมันหลากหลายชนิดผสมผสานกันเพื่อให้คงความนุ่ม ยืดหยุ่น แต่คงรูป  เกลือแร่สารอาหารซึมผ่านเข้าไปในเซลล์ได้เหมาะสม  ขยะของเสียซึมผ่านออกจากเซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 ที่ดีคือ ไม่เกิน 3:1  แต่ผลจาการที่วงการแพทย์หลงผิดและเผยแพร่ความเชื่อว่าสาเหตุการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้นเกิดจาก คลอเลสโตรอลและไขมันอิ่มตัว จนทำให้อุตสาหกรรมอาหารเกาะกระแสโปรโมทน้ำมันพืชว่าเป็นไขมันไม่อิ่มตัว อุดมด้วยไขมันโอเมก้า-6  บางชนิดก็โหมกระแสว่ามีไขมันโอเมก้า-3 อีกต่างหาก เลยกลายเป็นว่าทุกครัวเรือนต่างเลิกทานน้ำมันปรุงอาหารแต่ดั้งเดิมกลับมาฝากสุขภาพกับไขมันไม่อิ่มตัวทั้งหลายโดยเฉพาะน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทั้งยังแทรกซึมลงไปในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทุกแขนง เราจึงมักพบขนมขบเคี้ยวทั้งหลาย ฟาสต์ฟู๊ดทั้งหลายล้วนกระหน่ำการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเป็นส่วนผสมและปรุง  เช่นมันฝรั่งทอด กรอบที่ผ่านการทอดและชุ่มด้วยน้ำมันพืช (โดยไม่มีใครเฉียวใจเลยว่าน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเหล่านี้เปิดฝาขวดทิ้งไว้เป็นปีก็ยังไม่เหม็นหืน ?  ทั้งๆ ที่โดยหลักการแล้วไขมันไม่อิ่มตัวทั้งโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 นั้นจะถูกออกซิไดส์โดยออกซิเจนในอากาศได้อย่างง่ายดาย  แต่ไม่เคยมีใครเฉลียวใจกับคำศัพท์ที่ว่า”   "ผ่านกรรมวิธี”  เลยว่าผ่านอะไรมาทำไมจึงไม่เหม็นหืน ????

9. ผลจากการที่วงการแพทย์เดินผิดทาง ภาวะโภชนาการของประชากรโลกก็เลยเดินเป๋จนพิกลพิการ ในอเมริกาพบว่าอาหารการกินของประชากรขาดความสมดุลอย่างรุนแรง สัดส่วนระหว่างไขมันโอเมก้า-6 และไขมันโอเมก้า-3 กลายเป็น 15:1  จนถึงระดับวิกฤติ คือ 30:1  ผลก็คือผนังหุ้มเซลล์เสียหายอย่างรุนแรงและปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า  cytokines ออกมาทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง

10. ปัญหายิ่งหนักสาหัสขึ้น เมื่อมีภาวะน้ำหนักเกิน อ้วน  ทานไขมันเหล่านี้ปริมาณมากเกินไป ทานน้ำตาลมาก ก็ยิ่งทำให้ปริมาณ  cytokines  และสารเร่งการอักเสบนานาชนิด หลั่งออกมามากเป็นทวีคูณ ตกเข้าสู่วัฏจักรเลวร้ายเต็มขั้นจน กลายไปเป็นโรคเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดตีบตัน เส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบตัน อัมพฤกษ์ อัลไซเมอร์ ฯลฯ ผมขอย้ำว่าร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อปริมาณน้ำตาลท่วมเลือด หรือ ไขมันโอเมก้า-6  ปริมาณสูงๆ จากน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมา ท่านทราบไหมว่าน้ำมันข้าวโพด 1  ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6 สูงถึง 7,280  mg น้ำมันถั่วเหลือง 1  ช้อนโต๊ะมีไขมันโอเมก้า-6 สูงถึง 6,940  mg  ตรงกันข้ามกับไขมันในเนื้อสัตว์ธรรมชาติซึ่งมีไขมันโอเมก้า-6 ไม่เกิน 20%

11. ยังคงเหลือทางรอดสำหรับประชากรโลกก็คือกลับไปสู่เมนูอาหารที่ปรุงสด ผ่านกรรมวิธีผ่านการแปรรูป ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  ตัดน้ำตาลและความหวานทั้งหลาย ตัดน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (ผ่านกรรมวิธีอะไรเป็นปีๆ จึงไม่เหม็นหืน?)  ออกไปเสียจากวงจรอาหารในชีวิตประจำวัน

** แชร์บทความความรู้นี้ไปยังผู้ป่วย เพื่อเป็นทางเลือกในการรักษาต่อไป **

เคล็ดลับดูแลสมอง

Khunkhao

เคล็ดลับดูแลสมองจากพี่สาวคนเก่ง "หนูดี - วนิษา เรซ"

การดูแลสมอง 12 ประการ:

1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน
ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและ หวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื ่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ
ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

10. อย่าลืมแบ่งปันข้อมูลดีๆให้คนอื่นเสมอ (อันนี้ขุนเขาขอแถม)
...เพราะสมองของเราจะจดจำข้อมูลที่เราแบ่งปันให้คนอื่น ได้มากกว่าข้อมูลที่เรานั่งอ่านหรือท่องจำอยู่คนเดียวเสมอ ฉะนั้น ฝึกแบ่งปันสิ่งดีๆให้เป็นนิสัย พอยิ่งให้เขาเราจะยิ่งได้... ได้ทั้งความจำที่ดีขึ้น ได้ทั้งความสุขที่มากขึ้น และได้สร้างสังคมที่งดงาม

โอเคนะคะที่รัก วันนี้คุณน่ารักจัง

เมื่อวานไปตีกอลฟ์มา ระหว่างรออาบน้ำในห้องของสโมสร
ขณะที่อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น

ผมหันไปมอง เห็นชายคนนึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นรับสาย
"ฮัลโหล”

"หวัดดีค่ะที่รัก ยังอยู่ที่ฟิตเนสเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ”

“ดีจัง ดาวก็ยังอยู่ที่เซ็นทรัลเลยค่ะ เจอเสื้อตัวนึงซ้วยสวย ดาวอยากได้จัง ขอซื้อนะคะ”
“แล้วราคาเท่าไหร่ล่ะจ๊ะ”
“สองหมื่นกว่าเองค่ะ”
“ก็เอาสิ ถ้าคุณชอบนะ”

“แล้วชั้นล่างเค้าเอาบีเอ็มรุ่นใหม่มาโชว์ สวยมากเลยค่ะ ดาวคุยกับเซลส์แล้ว
เค้าบอกถ้าจองวันนี้เค้าจะให้ราคาลดพิเศษสุดเลย…”
“เขาให้ราคาเท่าไหร่ล่ะ”
“สี่ล้านสองเอง”
“โอเค แต่บอกเขาว่าราคานี้ต้องฟูลออปชั่นนะ”

“ดีใจจังเลย แต่ยังมีอีกอย่างค่ะ…”
“อะไรล่ะ”
“คุณอย่าหาว่าดาวยุ่งไม่เข้าท่าเลยนะคะ
เมื่อเช้าดาวขับรถผ่านบ้านที่เราเคยไปดูกันเมื่อสองเดือนที่แล้ว
ตอนนี้เขากำลังมีโปรโมชั่น ลดราคาลงมาตั้งเยอะแน่ะค่ะ…”

“เท่าไหร่ล่ะ”
“ยี่สิบห้าล้านถ้วน แถม…”
“เงินไม่ใช่น้อยเลยนะนั่น”

“แหมที่รักคะ ราคาเต็มเข้าตั้งสามสิบล้านเชียวนะคะ”
“ผมขอคิดดูหน่อยนะ”

“ที่รักคะ วันนี้โปรโมชั่นวันสุดท้ายแล้ว และสำนักงานขายเค้าก็กำลังจะปิดแล้วด้วย
ตอนนี้เซลส์เขารอให้ดาวเขียนเช็คเงินมัดจำให้อยู่น่ะค่ะ”
“ก็แล้วแต่คุณละกัน”

“โอเคนะคะที่รัก วันนี้คุณน่ารักจังขอบคุณค่ะ บ๊ายบาย”

เขาวางโทรศัพท์ไว้บนม้านั่งเหมือนเดิมแล้วหันมาถามคนในห้องว่า
“ใครรู้บ้างครับว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องนี่ของใคร!!?”

Thursday, March 12, 2015

"WORDS" OF WISDOM by Warren Buffet


  1. ON EARNING: Never depend on single income. Make investment to create a second chance.
  2. ON SPENDING: If you buy things you do not need, soon you will have to sell things you need.
  3. ON SAVINGS: Do not save what is left after spending, but spend what is left after saving.
  4. ON TAKING RISK: Never test the depth of a river with both feet.
  5. ON INVESTMENT: Do not put all eggs in one basket.
  6. ON EXPECTATIONS: Honesty is a very expensive gift. Do not expect it from cheap people.
  7. IF YOU are depressed, you are living in the past. If you are anxious, you are living in the future. If you are at peace, you are living in the present. Past is a waste paper. Present is a newspaper and future is a question paper.
  8. WHEN bad things happen in your life you have three choices. You can either let it define you, let it destroy you or you can let it strengthen you.
  9. EMPTY pockets teach you a million things in life but full pockets spoil you in a million ways.
  10. OUR EYES are in the front because it is more important to look ahead than to look back.
  11. WE USED a pencil when we were small but now we use pens...do you know why?  Because mistakes in childhood can be erased but not now.


So read and write carefully otherwise life will be a tissue paper.

Monday, March 9, 2015

เหนื่อย-ไม่เหนื่อย

 โพสต์นี้โดนมากๆ

@ การยิ้มไม่เหนื่อย
การโกรธถึงจะเหนื่อย

@ เรียบง่ายไม่เหนื่อย
ซับซ้อนถึงจะเหนื่อย

@ มิตรภาพไม่เหนื่อย
ไม่เข้าใจกันซิเหนื่อย

@ จริงใจไม่เหนื่อย
เสแสร้งถึงจะเหนื่อย

@ เพิ่มมิตรไม่เหนื่อย
สร้างศัตรูถึงจะเหนื่อย

@ ไม่เห็นแก่ตัวไม่เหนื่อย
เห็นแก่ตัวถึงจะเหนื่อย

@ มีได้มีเสียไม่เหนื่อย
คิดหยุมหยิมถึงจะเหนื่อย

@ กายเหนื่อยไม่เหนื่อย
ใจเหนื่อยถึงจะเหนื่อย

ความสุขไม่ใช่การครอบครองมาก  แต่คือ การคิดหยุมหยิมให้น้อย
สิ่งที่เป็นจริงก็คือ "รู้พอ"มีความสุขที่สุด

For วันสตรีสากล

WOMAN

  • changes her name
  • changes her home
  • leaves her family
  • moves in with you
  • builds a home with you
  • gets pregnant for you
  • pregnancy changes her body
  • she gets fat
  • almost gives up in the labour room due to the unbearable pain of child birth
  • even the kids she delivers bear your name


Till the day she dies... everything she does... cooking, cleaning your house, taking care of your parents, bringing up your children, earning, advising you, ensuring you can be relaxed, maintaining all family relations, everything that benefit you..... sometimes at the cost of her own health, hobbies and beauty.

So who is really doing whom a favour?

Dear men, appreciate the women in your lives always, because it is not easy to be a woman.

*Being a woman is priceless*
Happy women's week!
Pass this to every woman in your contact to make her feel proud of herself.
Rock the world ladies!

A salute to ladies!

WOMAN means:-
  • Wonderful mother
  • Outstanding friend
  • Marvelous daughter
  • Adorable sister
  • Nicest gift to men from God



Pass to every women to feel proud!

การแต่งงาน คือสุสานของความรัก ใช่หรือเปล่า?

ยาวหน่อย แต่อยากให้อ่าน อ่านแล้ว ดี ชอบ


ผู้หญิงคนหนึ่ง ได้ระบายปัญหาของตน กับอาจารย์เซ็นว่า
หลายปีก่อน สมัยเธอเป็นสาวแรกรุ่น เธอได้แต่งงาน กับสามีที่อายุห่างกัน ประมาณ10ปี

ในตอนนั้น สามีของเธอดูยิ่งใหญ่มาก ในสายตาของเธอ
เธอชื่นชม และยกย่อง สามีของเธอมาก

แต่หลังจาก อยู่กินกันมาหลายปี เขาก็เปลี่ยนไป ไม่เหลือความอลังการ น่าเกรงขาม ไม่เหลือซึ่ง ความน่าสนใจ เหมือนครั้งอดีตอีกแล้ว

เธอถามอาจารย์เซ็นว่า เป็นเพราะเหตุใด? หรือการแต่งงาน คือสุสานของความรัก ใช่หรือเปล่า?
เมื่อเธอเล่าจบ อาจารย์เซ็น จึงบอกกับเธอว่า “เธอจงตามอาตมามา”

อาจารย์เซ็น พาเธอมายืนอยู่ หน้าภูเขาลูกหนึ่ง แล้วถามว่า

“ภูเขาลูกนี้ เป็นอย่างไรบ้าง?”

“สูงใหญ่ ตระหง่าน ตระการตา และสวยงาม เป็นที่สุด” เธอบอก

“ตามอาตมาขึ้นเขาเถอะ!” อาจารย์เซ็นกล่าว

ตลอดทาง ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ
มีแต่เดินกับเดิน เธอเริ่มเหนื่อย และอ่อนล้า อีกทั้งทางเดินที่ขรุขระ เธอจึงบ่นอะไร เยอะแยะออกมา
เมื่อถึงยอดเขา อาจารย์เซ็นบอกเธอว่า

“นี่คือภูเขาที่เธอเห็นเมื่อสักครู่นี้”

“ภูเขาลูกนี้ไม่สวยเลย ทางเดินก็มีแต่หิน ต้นไม้ ก็ไม่สวย ดูๆแล้ว ภูเขาลูกโน้น สวยกว่าซะอีก!”
เธอระบายความรู้สึกออกมา

อาจารย์เซ็นหัวเราะขึ้นมา และก็กล่าวว่า
“ตอนที่เป็นแฟนกัน ก็เหมือนกับมองภูเขาจากที่ไกล ในสายตา มีแต่ความชื่นชม เลื่อมใส เมื่อแต่งงานแล้ว ก็เหมือนกับการขึ้นเขา สิ่งที่เธอได้เห็น คือความปกติธรรมดาของกันและกัน เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขา สายตาของเธอก็เห็นแต่ภูเขาลูกอื่น ไม่เห็นภูเขาลูกเดิม ที่จริงแล้ว ภูเขาไม่ได้เปลี่ยน แต่เป็นเธอต่างหากที่เปลี่ยน เพราะใจเธอเปลี่ยน แววตาของเธอจึงเปลี่ยนไป เมื่อหมดซึ่งความชื่นชม ภูเขาก็ไม่ยิ่งใหญ่อีกต่อไป เธอปรักปรำพร่ำบ่นมากเท่าใด ความเสียหายก็มีมากเท่านั้น เพราะอะไร เธอจึงสามารถยืนอยู่บนยอดเขาลูกนี้ และเห็นภูเขาลูกอื่น? ก็เพราะเธอเหยียบอยู่บนภูเขาลูกนี้ เธอควรสำนึกคุณ ไม่ใช่ปรักปรำ”

มิใช่เพียง ความรู้สึก ของหญิงผู้นี้ต่อสามี ความรู้สึกของชาย ต่อหญิงก็ทำนองเดียวกัน หรืออาจจะ คิดเปรียบได้อีก มากมาย

เด็กที่มองว่าบิดา มารดา ของผู้อื่นแสนดี
แต่กลับมิได้สำนึก ถึงพระคุณของ บุพการีของตนเอง ก็เช่นกัน

อย่ามองข้าม คุณค่า คุณความดีของผู้ใกล้ชิด กอดกันรักกันให้มากๆ
วันหนึ่งเมื่อต้องจากกัน จะได้มีช่วงเวลาดีๆให้นึกถึงกัน

จงรักษาความสัมพันธ์ของเพื่อนที่เราคบมายาวนานด้วย
เพราะมิตรภาพคือของขวัญที่สวรรค์มอบให้



ขอบคุณ ผู้แต่งนิรนาม

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ได้ประโยชน์อย่างที่คุณคิดไม่ถึง

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดีในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้ เป็นที่นิยมดื่มน้ำทันทีหลังจากตื่นนอนตอนเช้า (ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี

*มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์* "พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่" และสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล100% (แบบค่อยเป็นค่อยไปต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้า หมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลง คลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง รอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

วิธีการปฏิบัติ

  1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)
  2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไร จนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ
  3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
  4. ผู้ป่วย หรือคนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว

ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าว จะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆเบาและหายขาดได้ในที่สุด ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้นเพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้นและหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ

จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษาทำให้หายได้ภายในเวลาดังนี้

  1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน 
  2. โรคกระเพาะ 10 วัน 
  3. โรคเบาหวาน 30 วัน 
  4. โรคท้องผูก 10 วัน 
  5. โรคมะเร็ง 180 วัน 
  6. โรควัณโรค 90 วัน 
  7. โรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน


อ่านแล้วพิจารณาส่งต่อนะคนดีที่หนึ่งเลย