Showing posts with label (cc). Show all posts
Showing posts with label (cc). Show all posts

Friday, October 31, 2014

Cancer is Natural

เพื่อนจาก รพ จุฬาส่งมาให้
น่าสนใจนะ

Shafin de Zane presents: What is Cancer?

นี่คือสิ่งที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า จะมีผู้ใดกล่าวว่า - มะเร็ง คือ ธรรมชาติ (Cancer is Natural)
มะเร็ง คือ ธรรมชาติของวิวัฒนาการของเซลล์ในร่างกายคนเรา
น่าแปลกใจไหมครับ ?
ขออนุญาตให้ผมได้อธิบาย
หน่อย....   ไม่กี่วันมานี้  ในขณะที่ผมกำลังทำงานวิจัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
ผมพบสาระสำคัญ คือ การปรับตัว (adaptation)
เมื่อเซลล์ในร่างกายของเราผ่าเหล่า (mutate) ไปเพราะสภาพแวดล้อมที่
เปลี่ยนไป  เพื่อทำให้เราสามารถปรับตัวไปตามเปลี่ยนแปลงนั้นได้  เราเรียกการปรับเปลี่ยนนั้นว่า - การปรับตัว (adaptation)

หากผมของเรายาวขึ้น เพื่อตอบสนองต่ออากาศหนาวจัด - นั่นก็คือการปรับตัว
หากเซลล์ผมของเราหยุดยาว  เพื่อตอบสนองต่ออากาศร้อน - นั้่นก็คือการปรับตัว

เมื่อเราปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้สำเร็จ วิวัฒนาการจึงเกิดขึ้น
เป็นเหตุ-เป็นผลไหมครับ ?
อีกครั้งนะครับ  -  เซลล-ผ่าเหล่าไป-เพื่อปรับตัวตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป  มันเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ

มะเร็ง คือ กลุ่มของเซลล์ที่ผ่าเหล่าไป
เพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็น
ธรรมชาติ-อันเนื่องมาจากการที่เลือดของเรากลายเป็นพิษเกินกว่าที่
เซลล์จะมีชีวิตต่อไปได้   ถ้าหากเซลล์เหล่านั้นไม่ผ่า
เหล่าไป เซลล์เหล่านั้นจะป่วยและตาย  เซลล์เหล่านั้นจึงตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติด้วยการผ่า
เหล่า  เพราะเซลล์ในร่างกายมนุษย์มีความสามารถที่จะปรับตัวเพื่อ
รับมือกับการเปลี่ยนแปลง  การปรับตัวของเซลล์จึงเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ

เป็นที่น่าเสียดายว่า  คุณหมอทั่วโลก บอกกับเราว่า  วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบำบัดด้วย-คีโม หรือการทำลายเซลล์มะเร็ง
ด้วยรังสี  แต่สิ่งที่คุณหมอไม่ได้บอกเราคือ ทำไมเซลล์มะเร็งจึงผ่าเหล่า
ตั้งแต่แรก ?   อย่างไรก็ตาม-เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป  เซลล์อีกจำนวนมากก็จะผ่า
เหล่า-ต่อไปอีก-ไม่เร็วก็ช้า  นั่นเป็นสาเหตุที่เราพบเห็น
ผู้ป่วยมะเร็งถูกให้คีโม ดีขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุดลงไปใหม่อีก

จากมุมมองของเซลล์  หากมันไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย   การผ่าเหล่าของเซลล์จึง
เป็นธรรมชาติ
มะเร็ง แท้จริงแล้ว คือ  วิวัฒนาการของกลุ่มเซลล์ที่พยายามรอดตายจากสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ แต่ทั้งหมดนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่
ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้นลงเอยด้วยการ-ฆ่าร่างกาย แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่แท้จริง

มะเร็ง คือ วิวัฒนาการของกลุ่มเซลล์ที่พยายามจะรอดตายในสภาพ
แวดล้อมที่เป็นพิษอย่างสูง  เราต้องพยายามทำความ
เข้าใจในประเด็นนี้ให้ชัดเจน  การพยายามฆ่าเซลล์เหล่านั้น-โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลง
สภาพแวดล้อม  เปรียบได้กับการฆ่าแมลงวัน โดยไม่ได้พยายามเอา
ขยะออกไป

เอาละ คุณจะลงมืออย่างฉับพลัน-เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อม
ของคุณอย่างรวดเร็วได้
อย่างไร
มีวิธีการง่ายๆด้วยกัน 3 วิธีคือ:

วิธีที่ 1. หายใจลึกๆ - หายใจลึกๆ
สิ่งแรกที่กระตุ้นให้เซลล์ผ่าเหล่าและกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
คือ  การขาดออกซิเจน
เซลล์มะเร็งปรับตัวเพื่อรอดชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มี
ระดับออกซิเจนต่ำ  ยิ่งมีออกซิเจนต่ำเท่าไร  เซลล์มะเร็งก็ยิ่งเติบโตได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะนี่คือวิวัฒนาการของเซลล์ที่ปกติซึ่งต้องการจะรอดชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่มีระดับออกซิเจนต่ำ  - วิธีแก้ไขคือ หายใจลึกๆ  ซึ่งเป็นการออกกำลังง่ายๆที่ทำได้ทุกเช้าเพื่อเพิ่มระดับ
ออกซิเจนให้กับเลือด

เดิน 5 นาที
แล้วหายใจแบบนี้ คือ
หายใจเข้า 4 ครั้ง ติดกัน
กลั้นหายใจแล้วนับ 1 ถึง 4
หายใจออกช้าๆ 4 ครั้ง ติดกัน

ทำอย่างนี้ครับ
>>>>
1-2-3-4
<<<<

ทำอีกครั้งครับ
>>>>
1-2-3-4
<<<<

ผมหายใจเข้าทางจมูก >>>>
กลั้นใจแล้วนับ 1-2-3-4
หายใจออกทางปาก <<<<

หายใจเข้าไปในท้อง  ไม่ใช่หายใจเข้าไปในอก  นี่คือวิธีการหายใจที่ถูกต้อง
ถ้าหากไม่มีที่เดิน  ให้เดินในห้องนอนของคุณ เพราะมันมีที่พอสำหรับ
การออกกำลังของเราทุกวิธี

วิธีที่ 2 หยุดรับประทาน-กรด
สิ่งที่สองที่มากระตุ้นเซลล์ให้ผ่าเหล่ากลายเป็นเซลล์มะเร็ง คือ สภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เพราะนั่นคือการตอบสนองที่จะทำให้เซลล์รอดชีวิตได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เซลล์ที่ผ่าเหล่าจะตายในสภาพแวดล้อมที่เป็นด่าง  และเติบโตในสภาพ
แวดล้อมที่เป็นกรด   คุณจะทำให้ร่างกายของคุณ
เป็นด่างได้ ก็ด้วยการรับประทาน
อาหารที่เป็นด่างมากขึ้น

น้ำผัก น้ำผลไม้ มีประสิทธิภาพสูงมาก
งดน้ำตาล โคคา-โคล่า เปปซึ่ และน้ำอัดลมทุกชนิด กาแฟ  เนื้อสัตว์ นม บุหรี่ และ แอลกอฮอล์
รับประทานผักสดสีเขียว ผลไม้สด น้ำด่าง และน้ำมะพร้าว หากคุณต้องการเห็นการ
เปลี่ยนแปลงของสุขภาพอย่างน่าอัศจรรย์ในระยะเวลาอันสั้น  ดื่มน้ำผักสดปั่นทุกเช้า โดยไม่ต้องรับประทานอะไรอีกเลย   จนกว่าจะถึงมื้อเที่ยง-นำผักใบเขียวหลากชนิด มะเขือเทศ แตงกวา ปั่นกับน้ำสะอาดแล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่า มันไม่น่าดื่มเลย  แต่มันไม่เลวร้ายและออกจะ
อร่อยด้วยซ้ำไปเมื่อคุณ
คุ้นเคยกับมัน

วิธีที่ 3 ดูแลร่างกายของคุณ
ความเครียด ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
ความเครียด คือ ฆาตกรเบอร์หนึ่ง และเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดโรค-ทุกโรค
ความเครียด เพิ่มกรดและส่งผลกระทบต่อ
ทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกาย  มันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่เราจะต้องทำจิตใจให้แข็งแรงเบิกบานอยู่เสมอ

คุณจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ?
ทำสมาธิ ดูหนังตลก  ละเว้นจากการดูข่าวร้าย
และเรื่องเลวร้าย  อ่านหนังสือดีๆที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ๆ ปลดความทุกข์ความสลดใจ
เก่าๆและสิ่งเลวร้ายต่างๆที่ผ่าน
ไปแล้ว  และแชร์ข้อมูลนี้ให้กับผู้อื่นต่อไปให้มากที่สุดที่คุณจะทำได้

ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการบำบัดด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่างเหนือ
คำบรรยาย
ช่วยให้ผู้อื่นตื่นจากฝันร้ายที่เกิดจากโฆษณาชวนเชื่อของผู้ผลิตยากันเสียที  การป้องกันและรักษาตนเองให้หายจากมะเร็งเป็นสิ่งที่ง่ายดายเสียจนแทบจะเป็นเรื่องตลกอย่างเหลือเชื่อ

ใช้ความคิดให้ถูกต้อง
จงเปลี่ยนน้ำในบ่อปลาเมื่อปลาป่วย
เพราะการทำลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง
มาช่วยกันทำให้โลกของเราในวันนี้-น่าอยู่ขึ้น

Shafin de Zane
- บรรยาย (ภาษาอังกฤษ)
http://www.youtube.com/watch?v=P_OHAtVzeB0

ดร.ชนิสา อรรถจินดา - แปล
Chanisa Arthachinda, Ph.D.

Sunday, October 19, 2014

สมศักดิ์ ไปซื้อบุหรี่ที่ร้านแห่งหนึ่ง
ซื้อ 20 บาท ให้แบงค์ไปใบละ 50

เถ้าแก่ถอนให้ 40 สมศักดิ์เก็บใส่กระเป๋าแล้วก็เดินไป...

ไปได้ไม่ไกล เถ้าแก่วิ่งไล่มา
“คุณลืมเอาบุหรี่ที่ซื้อไป”

สมศักดิ์ซึ้งมาก หยิบ 10 บาทคืนให้เถ้าแก่
“อันนี้คุณทอนเกิน”

เถ้าแก่ตะลึง
“ไอ้หนุ่ม เอาบุหรี่เมื่อกี้คืนมา เอาของแท้ไป”

สมศักดิ์ซึ้ง จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่
“เถ้าแก่ เอาแบงค์ 50 เมื่อกี้มา ผมเปลี่ยนของจริงให้”

เถ้าแก่รับแบงค์จริงจากสมศักดิ์ ซึ้งมากขึ้นอีก
“ไอ้หนุ่ม เอาเงินทอนเมื่อกี้มา ข้าเปลี่ยนแบงค์จริงให้”

สมศักดิ์ซึ้งอีกครั้งหนึ่ง หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า
“เถ้าแก่ เอามือถือของคุณคืนไป”

เถ้าแก่ซึ้งจนน้ำตาไหล มือไม้สั่นหมด หยิบกระป๋าตังค์ออกมา
“ไอ้หนุ่ม วันหน้าระวังกระเป๋าตังค์ให้ดี ๆ นะ”

!!!...(มันดีทั้งคู่ หรือ เลวทั้งคู่???)

Wednesday, June 18, 2014

จดหมายจากในหลวง ถึง สมเด็จพระเทพฯ

6 ตุลาคม 2547
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำเผยแพร่



ลูกพ่อ

ในพื้นแผ่นดินนี้ ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว ทุกคนปราถนาความสว่างปราถนาความดีด้วยกันทุกคน แต่ความปราถนานั้น จักสำเร็จลงได้ จักตัองมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่างหรือความดีนั้น ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดี นั้นก็คือ รักผู้อื่น เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้

พ่อขอบอกลูกดังนี้....

  1. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่าเป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ด้วยกัน ทั้งหมด ทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
  2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและเหมาะสม
  3. มีความสันโดษ คือ มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือ ได้อย่างไรก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่า มีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือ มีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย
    • ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลม จะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง
    • พอใจตามสมควรคือทำงาน ให้มีความพอใจ เหมาะสมแก่งาน
    • ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน
  4. มีความมั่นคงแห่งจิต คือ ให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร
และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปราถนา ให้ภาวนาว่า
มีลาภมียศ
สุขทุกข์ปรากฎ สรรเสริญนินทา
เสื่อมลาภเสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา
อย่ามัวโศกา นึกว่า"ชั่งมัน"


พ่อ
6/10/2547




สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงมีพระราชปารภทิ้งท้าย

ฉันหวังว่า....คำสอนพ่อ ที่ฉันได้ประมวลมานี้ จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านที่ได้พบเห็น และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน ฉันรักพ่อฉันจัง
สิรินทร



จดมายส่งต่อ อ่านแล้วซาบซึ้งเหลือเกิน


ทรงพระเจริญ

Sunday, June 15, 2014

ทำไมเยอรนีถึงเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ?

ข้อคิดดีๆนำมาแบ่งปันกันครับ
19 ข้อไขความลับ ทำไมเยอรนีถึงเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ?

Make me a German สารคดีจาก BBC ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวของครอบครัวชาวอังกฤษ ที่ประกอบด้วยสามี ซึ่งเป็นนักข่าว ภรรยา เป็นนักเขียน และลูกน้อยอีก 2 คน ที่ไปใช้ชีวิตในเยอรมนี เพื่อค้นหาความลับว่า อะไรที่ทำให้ประเทศนี้ประสบความสำเร็จขนาดนี้ โดยบทความนี้ Wegointer ได้แบ่งออกมาเป็น 19 ข้อด้วยกันว่า อะไรที่ทำให้ประเทศเยอรนี เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ?

  1. ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของคนเยอรมันอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในยุโรป ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต
  2. ธนาคารไม่อนุมัติบัตรเครดิตให้กันง่ายๆ ในขณะที่ชาวเยอรมันก็ไม่ต้องการได้บัตรเครดิตง่ายๆ เช่นกัน
  3. คนเยอรมันสามารถออมเงินได้ 10% ของเงินเดือนแทบทุกคน
  4. ผู้คนส่วนใหญ่มีเงินฝากในธนาคารเป็นกอบเป็นกำ ทำให้ระบบการหมุนเวียนของเงินกู้กับเงินฝากสมดุลกันได้ดี
  5. คนเยอรมันไม่นิยมเอาบ้านหรือรถยนต์ไปจำนองเพื่อนำเงินมาทำธุรกิจ เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่
  6. คนเยอรมันใช้เวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยกว่าคนในชาติอื่นๆ ทั่วโลก แต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า
  7. การทำงานล่วงเวลาถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากการให้เวลากับครอบครัวหลังเลิกงานถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก
  8. เวลาแปดชั่วโมงต่อวัน คนเยอรมันทำงานอย่างจริงจังในเวลางาน ไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน
    อีเมลล์ส่วนตัว Facebook และโทรศัพท์มือถือ …เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรใช้ในชั่วโมงทำงาน
  9. นักข่าวชาวอังกฤษที่ไปทำงานในโรงงาน Faber & Castel ที่เยอรมนี ถูกต่อว่าจากเพื่อนร่วมงานทันทีที่หยิบโทรศัพท์เพื่อต้องการส่ง SMS แค่ครั้งเดียว
  10. ชีวิตในที่ทำงานที่นี่เขาจริงจังกันมาก ไม่มีการพูดคุย นินทา ไม่อยากรู้อยากเห็นว่าใครเป็นแฟนใคร ใครเลิกกับใคร ใครจะไปออกเดทกับใคร ไม่แม้แต่จะเล่าเรื่องละครทีวีที่ดูเมื่อคืน เลิกงานแล้วจะไปไหน จะไปทานดินเนอร์กับใคร ก็ไม่มีการพูดคุยกัน
  11. การมาทำงานสายจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รักษาสัญญา จะมาสายสามนาทีหรือสามสิบนาที ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีคุณภาพ เพราะขาดความเคารพต่อตัวเองและองค์กร
  12. สองในสามของคุณแม่มือใหม่จะไม่ทำงานนอกบ้าน การบอกว่าเป็น Housewife ในประเทศอื่น ๆ อาจจะรู้สึกเขินอายเหมือนว่าตนเองไม่มีงานทำ แต่ที่นี่มีแต่ความภาคภูมิใจหากจะได้เป็น Housewife
  13. รัฐบาลให้สวัสดิการดีกับคุณแม่ที่ต้องออกจากงาน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้แม่ได้เลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง การให้เวลากับลูกถือเป็นสิ่งสำคัญ
  14. ในวันอาทิตย์ ร้านรวงทั่วไปตามแหล่ง Shopping จะปิดเงียบ เพื่อให้ผู้คนส่วนใหญ่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เมื่อสถาบันครอบครัวแข็งแรงประเทศชาติก็จะแข็งแรง
  15. ในยามยากของเศรษฐกิจ บริษัทส่วนใหญ่ไม่ใช้วิธีการ Layoff พนักงาน ไม่นิยมการปลดคนงานออกแบบกระทันหัน เพื่อความอยู่รอดของบริษัท
  16. อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปเสียแล้ว ที่บริษัทจะเป็นห่วงความอยู่รอดของพนักงานก่อน เพื่อที่จะได้ช่วยกันประคองให้บริษัทอยู่รอด
  17. พนักงานยินดีที่จะถูกลดรายได้อย่างพร้อมเพียงกัน เพื่อให้ทุกคนอยู่ได้และบริษัทอยู่รอด  สิ่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการรักพวกพ้อง รักองค์กร และรักชาติในที่สุด
  18. ทีมชาติฟุตบอลของเยอรมนี จะไม่ค่อยมีดาวเด่นที่โด่งดังระดับโลก แต่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 3 สมัย ด้วยทักษะการเล่นอย่างเป็นทีมเวิร์คมากกว่าความสำเร็จจากความสามารถเฉพาะบุคคล
  19. การใช้ชีวิตแบบพอเพียง ประหยัด จริงจังในหน้าที่ มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบสูง รักครอบครัว รักพวกพ้อง รักชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นอุปนิสัยขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ในเยอรมนีได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา

Tuesday, April 1, 2014

ปลาทูไหม้

แม่ของผมเป็นคนทำอาหารที่บ้านประจำทุกวัน...
คืนหนึ่งหลังจากที่แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน พอแม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็นให้เราปกติ ที่โต๊ะอาหารแม่วางจานที่มีปลาทูที่ไหม้เกรียม บนโต๊ะต่อหน้าพ่อและทุกๆคน....

ผมรอว่าแต่ละคนจะว่าอย่างไร.....

แต่...พ่อไม่พูดอะไร และตั้งหน้าตั้งตากินปลาทูไหม้ตัวนั้น และหันมาถามผมว่าที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง

คืนนั้นหลังอาหารเย็น ผมจำได้ว่า ได้ยินแม่ขอโทษพ่อที่ทอดปลาทูไหม้...และผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย "โอย...ผมชอบปลาทูทอดเกรียมๆ ...อร่อยมากนะแม่"

คืนต่อมา ผมเก็บคำถามในใจก่อนนอน และถามพ่อว่า "พ่อชอบปลาทูทอดเกรียมๆ จริงๆ เหรอ?"

พ่อลูบหัวผม และ ตอบว่า....
แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน... ปลาทูไหม้ 1 ตัว ไม่เคยทำร้ายใคร แต่คำพูดที่ต่อว่ากันต่างหากที่จะทำร้ายกัน
ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ และแต่ละคนก็ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ ตัวเราเองก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าใครๆ
พ่อเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยลืมวันเกิดแม่ วันครบรอบวันแต่งงาน  และเแม้แต่พ่อเองยังเคยลืมทำบุญวันเกิดของพ่อและแม่ของพ่อเองตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เลยแต่สิ่งที่พ่อเรียนรู้ ในช่วงชีวิตคือ.....การเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดของคนอื่น และของตัวเอง 
การเลือกที่จะยินดีกับความคิดต่างกันของแต่ละบุคคลเป็นสิ่งสำคัญ ในการรักษาชีวิตครอบครัวที่มีความสุขและยืนยาวชีวิตเราสั้นเกินกว่าที่จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจที่ว่า เราทำผิดกับคนที่เรารักและรักเรา ให้ดูแลและทะนุถนอมคนที่รักเรา และพยายามเข้าใจและให้อภัยจะดีกว่า

ถ้าเรารู้ เราจะทำไหม?


  • เราจะบีบแตรใส่คนที่ยืนยึกยักริมถนนแยกที่ผ่านมาไหม – ถ้าเรารู้ว่าเค้าใส่ขาเทียม?
  • เราจะเบียดชนคนข้างหน้าที่เดินช้ามากไหม – ถ้าเรารู้ว่าเค้าเพิ่งตกงาน?
  • เราจะขำคนที่แต่งตัวเชยไหม – ถ้าเรารู้ว่าเค้ามีชุดเก่งแค่ชุดเดียว?
  • เราจะรำคาญสาวโรงงานที่มาเดินพารากอนไหม – ถ้าเรารู้ว่านั่นคือการฉลองวันเกิดของเธอ?
  • เราจะหมั่นไส้ลุงที่หัวเราะเสียงดังลั่นคนนั้นไหม – ถ้ารู้ว่าแกเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย?
  • เรารู้แจ่มชัดเสมอ…ว่าชีวิตเรากำลังเจออะไร แต่เราไม่มีวันรู้ว่า "คนที่เราเจอ – กำลังเจอกับอะไร"


โลกกว้างกว่าเงาของเรา และโลกก็ไม่ได้หมุนรอบตัวเรา
มองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆไปบ้าง ให้โอกาสและให้อภัย มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน จะได้รักและอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืน ยาวนาน

อภัยให้แก่กันในวันนี้ ดีกว่าอโหสิให้กันวันตาย

Sunday, December 8, 2013

เหมือนแมลงเม่าบินเข้าหากองไฟ

ธรรมวันเสาร์
พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้ทุกคนมีศีล และมีจิตใจงาม
เพราะจะมีความสุข และอยู่ด้วยกัน
เป็นสุขจริงๆ ทุกๆ คนต้องการสุขด้วยกันทั้งนั้นไม่มีใครปฏิเสธ
แต่ทำไมไม่เดินในทางของความสุข
ไปเดินในทางของความทุกข์ แล้วก็ร่ำร้องว่าไม่มีความสุข
ความที่เป็นเช่นนี้กล่าวได้ว่า
เพราะใจของคนยังมืดมิด จึงเดินเข้าไปหากองไฟ ด้วยอาการที่ร่าเริงเบิกบาน
เหมือนแมลงเม่าบินเข้าหากองไฟ
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรม เป็นดวงประทีปส่องให้มองเห็นทางที่ถูกต้อง สำหรับคนที่มีจักษุจักได้มองเห็นและเดินถูกทาง


พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก -- ธรรมวันนี้

Friday, November 22, 2013

ทายคนตามวันที่

คุณเกิดวันที่เท่าไหร่กัน?
  1. เป็นคนรักเสรี กล้าหาญ และไม่ก้มหัวให้ใคร
  2. เพื่อนเป็นคนสำคัญ
  3. ท่านคือ เพื่อนที่แสนดี
  4. จริงใจและมั่นคง
  5. นักอุดมการณ์ หรือบางทีก็เผด็จการ
  6. อยู่ได้ด้วยความรัก
  7. นักเล่าประสบการณ์
  8. ทุกอย่างต้องพร้อม
  9. เจ้าความคิด
  10. แข็งหรือไม่ก็แกร่ง
  11. แม้จะเจ้าอารมณ์ แต่ก็สร้างสรรค์
  12. คนเก่งที่มีเพื่อนน้อย
  13. น่ารักน่าคบ
  14. น่ารักน่าคบ
  15. เห็นง่าย รู้จักยาก
  16. ไม่ลุ่มหลงอะไรง่ายๆ
  17. สมบูรณ์แบบ
  18. ที่ปรึกษาผู้เคร่งครัด
  19. เปี่ยมด้วยกำลังภายใน
  20. อารมณ์เหมือนใบไม้ไหว แต่น่ารัก
  21. นุ่มนวล เจ้าเสน่ห์
  22. คงเส้นคงวา
  23. ตัวเองคือความมั่นใจ
  24. มีน้ำใจไมตรี
  25. รวงข้าวที่มีเมล็ดมาก
  26. สุขุม มองไกล
  27. ซื่อสัตย์ยุติธรรม ประจำใจ
  28. เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง
  29. รักใครไม่ผันแปร
  30. ทรราชย์น้อย
  31. ต้องการกำลังใจ

เคล็ดลับ 20 ข้อ เพื่อชีวิตที่ดี


  1. หาเวลาเดินทุกวัน อย่างน้อยวันละ 10-30 นาที และควรยิ้มไปด้วย
  2. หัดนั่งอยู่เงียบๆ อย่างน้อยวันละ 10 นาที
  3. กินอาหารจากพืชให้มากขึ้น ลดการกินอาหารจากโรงงาน
  4. ดื่มน้ำเยอะๆ กินบลูเบอรี่ บร๊อคคอรี่ และอัลมอนด์เป็นประจำ
  5. ทำให้คนอื่นยิ้ม อย่างน้อยวันละ 3 คน
  6. อย่าเสียเวลากับเรื่องซุบซิบนินทา เรื่องไม่ดีที่ผ่านไปแล้ว และสิ่งต่างๆ ที่นอกเหนือการควบคุม แต่ควรทุ่มเวลากับสิ่งที่เป็นประโยชน์ในปัจจุบัน
  7. กินมื้อเช้าเยี่ยงราชา มื้อกลางวันเยี่ยงเจ้าชาย มื้อเย็นเยี่ยงยาจก
  8. ชีวิตไม่มีคำว่าเท่าเทียม แต่มันก็ยังดีอยู่
  9. ชีวิตนี้สั้นเกินไปที่จะเสียเวลาไปกับการเกลียดใคร ให้อภัยคนนั้นในทุกเรื่อง
  10. ไม่จำเป็นต้องชนะในทุกเรื่อง หัดเห็นด้วยกับเรื่องที่ไม่เห็นด้วยบ้างก็ได้
  11. อย่ายึดมั่นถือมั่นตัวเองมากเกินไป เพราะคนอื่นเขาไม่คิดเหมือนคุณ
  12. ปล่อยให้อดีตอยู่อย่างสงบสุข เพื่อที่จะได้ไม่มารบกวนชีวิตปัจจุบัน
  13. อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าเขาเคยเจออะไรมาแล้วบ้าง
  14. ไม่มีใครต้องมารับผิดชอบความสุขในชีวิตคุณ ยกเว้นตัวคุณ
  15. เวลาเกิดเรื่องที่คุณคิดว่า ร้ายแรงมากต่อความรู้สึก ให้ถามตัวเองต่อว่า อีก 5 ปีข้างหน้า ยังคิดแบบเดิมหรือไม่
  16. ให้ความช่วยเหลือแก่คนที่ต้องการ จงเป็นคนใจกว้าง และควรเป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้รับ
  17. สิ่งที่ผู้อื่นคิดเกี่ยวกับตัวคุณ ไม่ใช่เรื่องของคุณ ดังนั้นไม่ต้องใส่ใจมากนักก็ได้
  18. เวลา คือ ผู้เยียวยาทุกสิ่ง
  19. ไม่ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะดีหรือแย่ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด
  20. การงานที่คุณทำ ไม่ได้ช่วยเหลือคุณเวลาเจ็บป่วย แต่เพื่อนแท้ช่วยคุณได้ จงแบ่งเวลาพบปะเพื่อนบ้าง


Friday, November 26, 2010

สุดยอดการแก้โจทย์ฟิสิกส์ระดับโลก

[cr/via Dherapol >> Facebook group "Intania 66"]

ข้อสอบฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัย และคำตอบของนักศึกษาคนหนึ่ง
โจทย์ข้อหนึ่งในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนมีดังนึ้

"จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร"

รู้จักกันนะครับ ว่าบาร์รอมิเตอร์นี่ก็คือเครื่องมือวัดความกดอากาศนั่นเอง
(อธิบายเพิ่มเติมก็คงต้องบอกว่า อากาศนั้นมันมีน้ำหนักหรือมีแรงกดนั่นเอง
และแรงกดของอากาศนั้นเมื่ออยู่ในระดับความสูงที่เปลี่ยนไป ความกดอากาศก็เปลี่ยนไปด้วย)

นักศึกษาคนหนึ่งเขียนคำตอบลงไปว่า

"เอาเชือกยาวๆ ผูกกับบารอมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากยอดตึก แล้วก็เอาความยาวเชือกบวกความสูงบารอมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก"
.
.
.
.

ฟังดูเป็นอย่างไรครับคำตอบนี้ ผมฟังครั้งแรกผมยังอมยิ้มเลยครับ
แต่อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบไม่นึกขันอย่างผมด้วย
อาจารย์ตัดสินให้นักศึกษาคนนั้นสอบตก
นักศึกษาผู้นั้นยืนยันต่ออาจารย์ที่ปรึกษาว่า
คำตอบของเขาควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
และคำตอบของเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์
ทางมหาวิทยาลัยจึงตั้งกรรมการชุดหนึ่งมาตัดสินเรื่องนี้
และในที่สุดคณะกรรมการก็มีความเห็นตรงกันว่า
คำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน
แต่เป็นคำตอบที่ไม่แสดงถึงความรู้ความสามารถทางฟิสิกส์ ดังนั้น
เพื่อเป็นการแก้ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น
ทางคณะกรรมการจึงให้เรียกนักศึกษาคนนั้นมา
แล้วให้สอบข้อสอบข้อนั้นอีกครั้งหนึ่งต่อหน้า โดยให้เวลาเพียง 6 นาที
เท่ากับเวลาในการสอบข้อสอบเดิม
เพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์

หลังจากผ่านไป 3 นาที นักศึกษาคนนั้นก็ยังนั่งนิ่งอยู่
กรรมการจึงเตือนว่า เวลาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วจะไม่ตอบหรืออย่างไร
นักศึกษาหัวรั้นจึงตอบว่า เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์
แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดี
และเมื่อได้รับคำเตือนอีกครั้ง
นักศึกษาจึงเขียนคำตอบลงไปดังนี้

ให้เอาบารอมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกและทิ้งลงมา จับเวลาจนถึงพื้น, ความสูงของตึกหาได้จากสูตร H=0.5g*t กำลัง 2
หรือถ้าแดดแรงพอ
ให้วัดความสูงบารอมิเตอร์แล้วก็วางบารอมิเตอร์ให้ตั้งฉากพื้น แล้ววัดความยาวของเงาบารอมอเตอร์
จากนั้นก็วัดความยาวของเงาตึก แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึกโดยไม่ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำ

หรือถ้าเกิดอยากใช้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้
ก็เอาเชือกเส้นสั้นๆ มาผูกกะบารอมิเตอร์แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้ม ตอนแรกก็แกว่งระดับพื้นดิน แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้า ความสูงของตึกจะหาได้จาก ความแตกต่างของคาบการแกว่ง
เนื่องจากความแตกต่างของแรงดึดดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล
คำนวณจาก T = 2 พาย กำลัง 2 รากที่ 2 ของ l/g

ถ้าตึกมีบันไดหนีไฟก็ง่ายๆ
ก็เดินขึ้นไปเอาบารอมิเตอร์ทาบแล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆ
จนถึงยอดตึกนับไว้คูณด้วยความสูงของบารอมิเตอร์ก็ได้ความสูงตึก

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซาก
คุณก็เอาบารอมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้นและที่ยอดตึก คำนวณความแตกต่างของความดันก็จะได้ความสูง

ส่วนวิธีสุดท้ายง่ายและตรงไปตรงมาก็คือ
ไปเคาะประตูห้องภารโรง [ไม่มีผ้าเหลืองนะ] แล้วบอกว่า อยากได้บารอมิเตอร์สวยๆ ใหม่เอี่ยมสักอันไหม ช่วยบอกความสูงของตึกให้ผมทีแล้วผมจะยกให้.
.
.
.
.

นักศึกษาคนนั้นคือ นีล โบร์
ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีค.ศ.1922

Tuesday, November 9, 2010

Astrological auspices: glossary

 

ดิถี

หมายถึงขึ้นแรม เป็นการโคจรของดวงจันทร์สัมพันธ์กับดวงอาทิตย์  หรือลำดับวันทางจันทรคติ นับตั้งแต่วัน  จันทร์ดับ ( อบาวสี)  เรียงกันเป็น ดิถี 1-30 ไปจนถึงดวงจันทร์ดับมืดอีกครั้งหนึ่ง  ใช้ข้าขึ้น 15 ค่ำ ข้างแรม 15 ค่ำ  เป็นปกติ ถ้ามีเกิน 15 ให้เอา  15 ลบเป็นข้างแรม

ดิถีมหาโชค

วันดี ดิถีมงคล 5 ประการ โบราณถือกันมาก

  1. ดิถีอำมฤตโชค วันไม่ตาย เป็นวันทิพย์ เป็นดิถีดีที่สุด เหมาะแก่การมงคล ดีสำหรับงานทั่วไปเกี่ยวกับความราบรื่นและสบาย ใช้ได้ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม แต่ที่นิยมถือกันว่าข้างขึ้น ดีกว่าข้างแรม แต่อย่างไรก็ตามข้างแรมก็ใช้ได้ให้คุณเช่นกัน
  2. ดิถีมหาสิทธิโชค วันให้ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เป็นดิถีที่ดีรองลงมา เหมาะแก่การมงคล ดีสำหรับงานสำคัญที่เป็นโครงการระยะสั้น ใช้ได้ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม แต่ที่นิยมถือกันว่าข้างขึ้น ดีกว่าข้างแรม แต่อย่างไรก็ตามข้างแรมก็ใช้ได้ให้คุณเช่นกัน
  3. ดิถีสิทธิโชค วันให้ความสำเร็จ วันโชคดี วันให้ลาภผล  เป็นดิถีที่ดีรองลงมา เหมาะแก่การมงคล ดีสำหรับงานที่เป็นโครงการระยะยาว ใช้ได้ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม แต่ที่นิยมถือกันว่าข้างขึ้น ดีกว่าข้างแรม แต่อย่างไรก็ตามข้างแรมก็ใช้ได้ให้คุณเช่นกัน
  4. ดิถีชัยโชค วันแห่งชัยชนะ วันทำให้เกิดความภูมิใจ  วันได้รับความสำเร็จจากการต่อสู้  เป็นดิถีที่ดีรองลงมา เหมาะแก่การมงคล ดีสำหรับงานที่ต้องต่อสู้แข่งขันหรือรบทับจับศึก ใช้ได้ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม
  5. ดิถีราชาโชค วันได้รับชัยชนะด้วยบารมี  เป็นดิถีที่ดีรองลงมา เหมาะแก่การมงคล ดีสำหรับงานที่ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ใช้ได้ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม

 

ดิถีเรียงหมอน
ดิถีเรียงหมอน หรือดิถีแมลงปอ นี้  ใช้ในการแต่งงานถือฤกษ์แต่งงาน ข้างขึ้น โดยส่วนมากจะใช้ 7, 10, 13 ค่ำ และถ้าเป็นข้างแรมใช้ 4 ,5, 10, 14 ค่ำ วันที่กำหนดไว้นี้ นับว่าเป็นวันเรียงหมอนได้ ดังนั้นการให้ฤกษ์แต่งงาน ควรหาฤกษ์ให้ตรงกับวันเรียงหมอนจึงจะดี

 

ดิถีไม่ดี

ดิถีที่ควรหลีกเลี่ยง สำหรับการมงคล คือ ทักทิน, ทรธึก, ยมขันธ์, อัคนิโรธ, ทินกาล, ทินศูร, กาลโชค, กาลสูร, กาลทัณฑ์, โลกาวินาศ, วินาศ, พิลา, มฤตยู, บอด, กาลทิน, ดิถีพิฆาต, ทักทินไฟ, ทินสูรย์, กาลกรรณี

  • ทักทิน วันไม่ดี วันที่ถูกติเตียนทักท้วง วันที่ท่านห้ามทำการมงคล วันที่ไม่เป็นคุณในการทำกิจการมงคล
  • ทรธึก วันที่ถูกกล่าวหาลบหลู่  เป็นวันอันตราย ห้ามทำการมงคลแม้จะตรงกับดิถีที่ดีอื่นๆ
  • ยมขันธ์ เป็นวันที่ให้ความเดือดร้อน ร้อนอกร้อนใจ เสมือนอยู่ท่ามกลางขุมไฟนรก วันทักทิน-ยมขันธ์ เป็นชื่อดิถีขึ้นแรม ถือว่าเป็นวันชั่วร้าย ห้ามมิให้ทำการมงคลใดๆ ทั้งสิ้น  เป็นวันที่ให้ความเดือดร้อน หาความเจริญมิได้
  • อัคนิโรธ เป็นวันที่ได้รับการขัดขวางด้วยไฟ ไฟหมายถึงของร้อน เผาผลาญ
  • ทินกาล เป็นวันแห่งความตาย วันแห่งความสูญเสีย
  • ทินศูร วันที่เกิดการต่อสู้ รบราฆ่าฟันกัน วันต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย
  • กาลโชค วันอับปางล้มเหลว วันที่โชคดับ
  • กาลศูร วันที่จะถูกฆ่าให้ตาย
  • กาลทัณฑ์ วันที่ถูกลงโทษ
  • วินาสน์/วินาศ เป็นวันอันตรธาน วันถูกสังหาร วันล้มละลาย
  • พิลา วันแตกหัก ข้าวของเสียหาย
  • มฤตยู วันของพระยายมมาจับชีวิตมนุษย์ หมายถึงความตาย  วันสิ้นชีวิต
  • บอด วันที่มัวหมอง หรือมืด
  • กาลทิน วันที่ประกอบด้วยความทุกข์ วันที่หาความสุขมิได้  วันที่ห้ามทำมงคล

 

ดิถีมหาสูญ

เป็นวันดับ สำหรับดาวอาทิตย์ได้แก่วันที่ดาวอาทิตย์โคจรสุดราศี หรือวันยกราศี   และวันดับสำหรับดาวจันทร์ได้แก่วันสิ้นเดือนไทย  เป็นวันห้ามทำการมงคล ซึ่งโบราณถือกันมาก แม้จะตรงกับวันดีเท่าใดห้ามการมงคล

 

ดิถีอัคนิโรธ

อัคนิโรธหรือนางกาลกรรณีวิลัยวรรณ ก็คือชื่อของบุตรีของพญามัจจุราช มีผมแดง แต่งกายและทัดดอกไม้แดง เหาะล่องลอยมาในอากาศแล้วก็ตกลงสู่บ้านเรือนผู้คนในวันดิถีต่างๆ แสดงถึงอาเพศและเคราะห์หามยามร้ายต่างๆหากเราไปกระทำการมงคล ที่ต้องกับอัคนิโรธในวันนั้นๆ

ดิถี
(ขึ้น/แรม)
อัคนิโรธตกลงใน ห้าม
1 ค่ำ วัวควาย ซื้อขายวัวควาย เปิดคอกปศุสัตว์
2 ค่ำ ป่า ไปเที่ยวป่า เดินทางในป่าเขา ต้ดไม้
3 ค่ำ น้ำ เดินทางโดยทางน้ำ ทางเรือ เล่นน้ำ หรือขุดบ่อขุดสระ
4 ค่ำ ภูเขา ห้ามไปเที่ยวเขา ปีนเขา
5 ค่ำ ที่ทางเขตคาม แบ่งที่ทาง รังวัดที่ดิน
6 ค่ำ บ้านเรือน ทำการมงคลยกเสาเอก ปลูกบ้านเรือน ขึ้นบ้านใหม่ ย้ายเข้าบ้านใหม่ หรือทำการมงคลใดใดในบ้านเรือน
7 ค่ำ พระราชวัง ทำการอภิเษกพระราชา
8 ค่ำ ยวดยาน ซื้อขายยวดยาน หัดขับขี่ ออกรถใหม่ ฯลฯ
9 ค่ำ แผ่นดิน ขุดหลุมปลูกเรือน ขุดดิน ขุดบ่อ ถมดิน ฯลฯ
10 ค่ำ เรือ ลงเรือ ต่อเรือ เอาเรือลงจากคาน
11 ค่ำ พืชพรรณ ปลูกต้นไม้ เพาะชำ หว่าน ตอนต้นไม้ ฯลฯ
12 ค่ำ สตรี ซ่องเสพกับสตรี แต่งงาน ส่งตัวเจ้าสาว ฯลฯ
13 ค่ำ บุรุษ ซ่องเสพกับบุรษ แต่งงาน ส่งตัวเข้าเรือนหอ ฯลฯ
14 ค่ำ พัทธสีมา ทำการอุปสมบทและบรรพชา
15 ค่ำ เทวาอารักษ์ทั้งหลาย ทำการเซ่นสรวงบวงพลี ไหว้ครู บูชาเทพทั้งปวง

 

ดิถีอายกรรมพลาย

เรียกกันว่า วันภาณฤกษ์/วันดาวกำพลาย เป็นดิถีห้ามทำการมงคล  ดิถี ปฐม ทุติยะ ตติยะล้วนแต่ไม่ดีทั้งสิ้น ท่านว่าดิถีปฐม จะลำบากยุ่งยาก , ดิถีทุติยะ ร้ายกว่าอันแรกจะได้รับอันตราย , ดิถีตติยะ ร้ายแรงที่สุด

 

กระทิงวัน

เป็นวันที่ เลขของวันและเดือนตรงกัน วันกับดิถีตรงกัน , เดือนกับดิถีตรงกัน หรือ วัน ดิถี และเดือน ตรงกัน เป็นวันห้ามทำการมงคล โบราณว่าเป็นวันแรง เป็นวันแข็งไม่นิยมในการมงคล แต่เหมาะสำหรับการ ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง และคาถาอาคม  ยิ่งเลขของปีตรงกันก็ยิ่งแข็งมาก  อย่างเช่น  วันอังคาร (เลข 3)  เดือน 3  ปีขาล (เลข 3)

 

วันดับวันศูนย์

เป็นวันที่ถือกันมาก ห้ามประกอบการมงคลใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าประกอบการมงคลในวันดับศูนย์ การประกอบงานนั้นมักต้องประสบอันตราย

  1. วันสิ้นเดือนทางจันทรคติ
  2. วันอวมานโอน ตามปฏิทินโหราศาสตร์
  3. วันที่สุริยุปราคา หลีกเลี่ยงประกอบการมงคล ก่อนและหลังเกิดคราส 7 วัน ถือว่าแรงของคราสจะลบล้างความดีต่างๆลงหมด และดาวอาทิตย์กับดาวจันทร์ก็หมดกำลังลงด้วย
  4. วันที่มีพระอาทิตย์เป็น 2 ราศี ได้แก่ วันสงกรานต์ วันเนา วันที่พระอาทิตย์ย้ายเปลี่ยนราศี ตลอดจนกระทั่งดาวอื่นๆ เปลี่ยนย้ายราศี ดังนั้นวันดับศูนย์จึงห้ามประกอบการใดๆทั้งสิ้น
  • วันมหาสงกรานต์ วันที่ดวงตะวันจรดก้าวเข้าสู่ขอบราศีเมษธาตุไฟ  ดวงอาทิตย์เข้าสู่ต้นปี หรือต้นทวาร
  • วันเนา วันที่ดวงอาทิตย์อยู่ท่ามกลางเส้นแบ่งราศีมีน  และราศีเมษบนท้องฟ้า
  • วันดาวอาทิตย์ย้ายราศี  วันที่ดาวอาทิตย์โคจรอยู่คาบเส้นในระหว่างที่ข้ามราศี คือ โคจรจากราศีหนึ่งก้าวเข้าสู่ราศีหนึ่ง
  • วันดับ วันที่ดาวจันทร์เข้าสู่จุดดับ วันแรม 14 ค่ำบ้าง วันแรม 15 ค่ำบ้าง หรือวันอมาวสี
  • วันคราส วันที่มีสุริยะคราส หรือจันทร์คราส  เป็นวันที่ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ และโลกอยู่ในเส้นตรงของแสงอาทิตย์ที่พุ่งตรงสู่โลก
  • วันอวมานโอน วันสุดท้ายของการโคจรของดวงจันทร์ ซึ่งจะต้องเพิ่มอีกจากอัตรา 692 ตามวิถีทางการคำนวณ  ทางสุริยาตรจึงมีคำว่า “โอน” คือเพิ่มเข้าอีก 1 วัน
  •  

    กาลโยค

    คือ กาลอันพึงมีตามกำหนดอันประกอบด้วยผล คือคราวดี คราวร้าย ที่สืบเนื่องมาตามลำดับ จาก วัน ยาม ราศี ดิถี ฤกษ์

    • ธงชัย วันที่สำเร็จในผลดี หรือความดีทั้งหลาย ชัยชนะ มิ่งขวัญของหมู่คณะ
    • อธิบดี วันที่เป็นใหญ่ เป็นวันใหญ่ที่จะเข้าทำการปกครอง ควบคุมดูแลองค์กรหรือหมู่คณะต่างๆ ประกอบด้วย โชคดี มีอำนาจในทางเจริญ ในกาลมงคล เช่น แต่งงาน
    • โลกาวินาส หมายถึง อันตราย ความสูญสิ้น ความหายนะ ความเสียหาย สูญสิ้นความเจริญ หมดสิ้นความดี ความย่อยยับ
    • อุบาทว์ หมายถึง สิ่งชั่วร้าย อัปมงคล เคราะห์ร้าย ความด่างพร้อย ไม่บริสุทธิ์ อุบัติเหตุ อับปรีย์จัญไร สิ่งที่ไม่เป็นมงคล สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด

     

    Miscellaneous/Others

    • อธิกมาส เดือนซ้ำ มีเดือน 8 สองครั้ง
    • อธิกวาร เดือนที่มีแรม 15 ค่ำ ในเดือน 7
    • อธิกสุรทิน เดือนที่มีวันเพิ่ม กุมภาพันธ์มี 29 วัน
    • ปกติมาส ปกวาร ปกติสุรทิน หมายถึงปีที่ไม่มีเดือน วัน วาร  เพิ่ม
    • วันเถลิงศก วันที่สามของดวงอาทิตย์ที่โคจรพ้นขอบราศีมีน ก้าวเข้าสู่ราศีเมษเต็มดวง เป็นวันขึ้นศักราชใหม่
    • วันพระยาวัน วันที่พ้นจากอันตราย  ขึ้นรอบศักราชใหม่ได้เต็มที่ ดวงอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีมูลธาตุ เป็นวันเริ่มทำการมงคล
    • วันปูรณมี วันที่ดาวจันทร์เข้าสู่จุดเพ็ญ วันขึ้น 15 ค่ำ  วันที่พระจันทร์เต็มดวง
    • วันกาฬปักษ์ วันที่จันทร์อยู่ข้างแรมตั้งแต่แรม 1 ค่ำถึงวันแรม 14 หรือ 15 ค่ำ
    • วันชุนหปักษ์ วันที่ดาวจันทร์สว่างอยู่บนท้องฟ้า เป็นดวงจันทร์ข้างขึ้น ตั้งแต่ขึ้น 1 ค่ำถึงขึ้น 15 ค่ำ
    • ลัคนา คือจุดอุทัยทางขอบฟ้า ด้านทิศตะวันออก ในขณะเกิดของเจ้าชะตา เรียกว่า อุทัยลัคนา
    • วิสมคติ วิถีโคจรวิปริต ผิดปกติธรรมดาของดวงดาว เป็นศัพท์โหรทางภารตะ ไทยนำมาใช้ในการเดินผิดปกติ ของดวงดาว เป็น พักร์ มณฑ์ เสริด พักร์ คือ ดาวโคจรถอยหลังมณฑ์ คือ การเดินช้าของดาวเคราะห์ หรือการหมุน อยู่กับที่เสริด คือการโคจรเร็วของดาวเคราะห์
    • วรรษผล ดวงชะตาประจำปี เป็นดวงชะตาอีกแบบหนึ่ง  เป็นตำราทางอินเดีย ใช้พยากรณ์ดวงชะาตลอดปี  อายุย่างเข้าปีนั้นๆ เช่น อายุเต็ม 25 ปี อายุย่าง 26 ปี
    • กาลกิณี หมายถึง จุดวิบัติ จุดเสื่อม อุปสรรค ศัตรู ความอาภัพ ความเศร้าโศก การล่มจม ความอัปมงคล  และเหตุที่ไม่ดีทั้งปวง
    • ศูนยพาหะ แปลว่า ผู้พาไป ผู้นำไป เป็นพระเคราะห์ที่นำหน้าลัคนา 1 ราศี
    • ธรณีโชค หมายถึงโชคดีบนพื้นดิน หากบุคคลใดจะมีโชคดีบนพื้นดินชนิดใดก็สุดแต่ดวงชะตากำเนิดของผู้นั้น
    • วันทัคธทิน วันที่ไฟจะไหม้
    • วันลอย เป็นวันเหมาะแก่ การเริ่มต้นกิจการงาน และการมงคล
    • วันฟู เป็นวันเหมาะแก่ วันที่ทำกิจการ การงาน การทำมาหากินและการอาชีพต่างๆ ของคนไทยในอดีต ซึ่งรวมถึงการทำการมงคลในเรื่องที่เกี่ยวด้วย
    • วันจม เป็นวันห้ามทำการมงคล ริ่เริ่มใหม่ ให้ทำแต่กิจการที่ทำอยู่หรือทำในเรื่องเล็กน้อย เพราะมักจะมีอุปสรรค เหตุขัดข้องเกิดขึ้น
    • วันปลอด ให้ผลเป็นกลาง ทำการมงคลได้
    • สกุณฤกษ์ หมายถึง ฤกษ์ที่แสดงเป็นนิมิตดีแก่เจ้างาน
    • ดิถีฤกษ์ไชย เป็นการหาฤกษ์ใช้กับการเดินทางไกล หรือฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่
    • จัตุรงคโชค คือการคำนวณสอบดวงฤกษ์
    • มหัทธกรรมโกลาฤกษ์ เป็นเกร็ดสำคัญในการให้ฤกษ์
    • ฤกษ์ล่าง คือฤกษ์ที่กล่าวด้วยกฎเกณฑ์ย่อย ๆ
    • ฤกษ์บน คือฤกษ์ที่กล่าวถึงการโคจรของพระจันทร์ และดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้า
    • ดวงวรรษจักรา คือเมื่อครบรอบวันเกิด ดาวอาทิตย์โคจรมาทับอาทิตย์เดิมองศาสนิทในวันใดและเวลาใดก็เอา ดวงชาตะของวันนั้นมาผูกขึ้นและเอาเวลาที่ทับกันสนิทนั้นวางลัคนาขึ้น กลายเป็นดวงใหม่
    • ดวงนวางค์จักร คือดวงดาวเคราะห์แต่ละดวงที่สถิตอยู่ในนวางค์ราศีจักร
    • นวางค์อุจ คือดาวที่เข้าเป็นอุจในราศีใดๆ ก็ตามโคจรเจ้าไปอยู่ในนวางค์แรกที่ดาวเกษตรเจ้าเรือนครอบครองเป็นเจ้านวางค์
    • โคตรนวางค์ คือนวางค์ที่เป็นต้นตระกูลของนวางค์ทั้ง 9 ในราศีนั้นๆ  โดยการเป็นนวางค์ที่มีดาวเคราะห์เกษตรเป็นเจ้า  ครองนวางค์อยู่ในราศีที่ตรงกับเกษตรในราศีนั้นๆ   เรียกว่า โคตรนวางค์ หรือวรโคตรนวางค์
    • กาลจักร หมายถึงเวลาที่เวียนไปตามรูปวงกลมทางโหราศาสตร์นั้น  ได้แก่จักรราศี
    • กาลจักร ลัคน์จร หมายถึง ลัคนาจรไปในราศีต่างๆ  ตามเกณฑ์ของกาลจักร
    • สวเกษตร ก็คือพระเคราะห์ที่สถิตเรือนตนเอง ซึ่งก็ได้แก่ พระเคราะห์เกษตรนั่นเอง
    • พินทุบาทว์ คือดวงชะตาที่ให้ผลในทางร้าย ทางเสีย ทางเสื่อม หดชั่วไม่ดี ดวงบอด
    • คชเกสรีโยค คือดาวจันทร์ทำมุมเป็น 1,4,7,10 ต่อพฤหัสบดี   ดวงชะตาที่ได้คชเกสรีโยค มักจะกล้าเสี่ยง มีอำนาจวาสนา ตระกูลสูงอยู่แล้ว ก็จะทำให้ดวงสูง เด่นดีขึ้นกว่าเดิม มีกำลังบารมีแก่กล้า เสริมบารมีให้ดีขึ้น
    • อธิโยค คือมีดาวศุภเคราะห์อยู่ในภพที่ 6,7,8 แก่จันทร์ คือมุมตรงข้ามกับจันทร์ และส่งมุมปลายหอกมายังจันทร์  ท่านว่าให้คุณ แก่จันทร์อย่างใหญ่หลวง
    • ราศี คือ ส่วนแบ่งบนทรงกลมท้องฟ้ามี 12 ส่วน ส่วนละ 30 องศา เรียกว่า 12 ราศี เป็น 1 จักราศี เท่ากับ 360 องศา
    • สัปต์เกณฑ์ต่อกัน คือ เล็งกัน
    • ลัคนาธิปติ คือ เจ้าเรือนลัคนา
    • ฤกษ์ หมายถึง คราว หรือเวลาซึ่งเหมาะเป็นชัยมงคล
    • จักรพยากรณ์ จักร แปลว่า วงกลม พยากรณ์ แปลว่า การทาย  รวมความคือ การทำนายด้วยดวงชาตา
    • พญาวัน ได้แก่วันในสัปดาห์ที่ขึ้นเถลิงศก เปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ถือว่า เป็นวันที่ใหญ่ยิ่งของปีนั้น
    • วันอธิบดี ความหมายแห่งวันอธิบดี หมายถึง เป็นวันใหญ่ที่จะเข้าทำการปกครอง ควบคุมดูแลองค์กรหรือ  หมู่คณะต่างๆ ประกอบด้วย โชคดี มีอำนาจในทางเจริญ ในกาลมงคล เช่น แต่งงาน

     


    Credits

  • MyHora.com
  • ฤกษ์แต่งงาน http://www.weddingsquare.com/forum_posts.asp?TID=134865
  • Tuesday, May 18, 2010

    คำแนะนำจากตำรวจออสเตรเลีย

    Subject: Fw: กรุณาเปิดดูเพื่อความปลอดภัยของคนที่คุณรัก

    ตำรวจชาวออสเตรเลียได้เขียนสิ่งนี้ขึ้นเพื่อผู้หญิงทุกคน  นั่นเป็นเพราะว่าการลักพาตัวครั้งล่าสุดเกิดขึ้นกลางวันแสกๆ ตั้งสติให้ดีก่อนจะทำการอะไรหากคุณกำลังอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ข้อความนี้สำหรับตัวของคุณเองและเพื่อให้คุณได้แบ่งปันให้กับภรรยา ลูก หรือทุกๆ คนที่คุณรู้จัก หลังจากที่คุณได้อ่านคำแนะนำที่สำคัญเหล่านี้ .. คุณอาจต้องการที่จะเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้ โปรดส่งต่อให้กับคนที่คุณรักและเป็นห่วง

    การระมัดระวังล่วงหน้าไม่ต้องแลกกับความสูญเสีย เพราะฉะนั้นปลอดภัยไว้ดีที่สุด

    1. เคล็ดลับจากวิชาเทควันโด้
    ข้อศอกเป็นส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดในร่างกายของมนุษย์  หากคุณอยู่ใกล้คนร้ายในระยะที่จะใช้มันได้....จงใช้มันซะ!

    2. เคล็ดลับจากสมุดแนะนำนักท่องเที่ยว
    ถ้าคนร้ายต้องการกระเป๋าเงินหรือของมีค่าของคุณ  อย่ายื่นให้กับเขา  จงโยนกระเป๋าเงินของคุณไปให้ไกลจากตัวเอง..
    โอกาสที่คนร้ายจะสนใจกระเป๋าเงินของคุณนั้นมีมากกว่าที่จะสนใจคุณ และนั่นจะทำให้เขาต้องไปหยิบกระเป๋าเงินที่อยู่ห่างจากตัวคุณ
    ตอนนี้แหละ จงวิ่งไปอีกทิศทางหนึ่งให้เร็วที่สุด ><

    3. ถ้าคุณเกิดถูกลากหรือโยนเข้าไปในท้ายรถของคนร้าย สิ่งที่คุณควรทำคือให้ถีบไฟท้ายจนหลุดออก
    มา ยื่นแขนของคุณออกมาจากช่อง แล้วเริ่มโบกมืออย่างบ้าคลั่ง คนขับไม่เห็นสิ่งที่คุณทำ แต่คนอื่นจะเห็น  วิธีนี้ได้ช่วยหลายต่อหลายชีวิตมาแล้ว..

    4. คุณผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะนั่งอยู่บนรถเฉยๆ หลังจากช้อปปิ้ง เที่ยว กิน หรือ ทำงานเพื่อจะแต่งหน้า
    เปิดผ่านหนังสือ เช็คโทรศัพท์ ฯลฯ
    ห้ามทำเป็นอันขาด!
    คนร้ายจะคอยเฝ้าดูพฤติกรรมของคุณ และสิ่งที่คุณทำเป็นการเปิดโอกาสอันเหมาะสมเพื่อให้เขาเข้ามาทางที่นั่งข้างคนขับ และเอาปืนจ่อหัวคุณเพื่อจะให้คุณขับไปตามทางที่เขาต้องการ
    เพราะฉะนั้น....ทันทีที่คุณขึ้นรถ  จงล็อคประตู และรีบออกรถซะ........
    แต่ถ้าเกิด.... คนร้ายอยู่บนรถกับคุณ และเอาปืนจ่อขมับคุณไว้
    อย่าขับรถออกไปตามที่เขาบอก.......
    ย้ำ: อย่าขับรถออกไปตามที่เขาบอก.......
    สิ่งที่คุณควรทำคือ เหยียบคันเร่งให้เร็วที่สุด.......  ขับพุ่งใส่กำแพงหรือสิ่งกีดขวางในละแวกนั้น
    ถุงลมนิรภัยฝั่งคุณจะช่วยชีวิตคุณไว้ (เช่นเดียวกับฝั่งคนร้ายหากคนร้ายนั่งเบาะหน้า)
    (หากคนร้ายนั่งอยู่เบาะหลัง เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส)
    แต่ทันใดที่รถของคุณชน ให้รีบถอนตัวออกมา(จากถุงลมนิรภัย) แล้ววิ่งออกจากรถสุดแรงเกิด
    วิธีนี้จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นตรงที่คุณสามารถวิ่งเข้าหากลุ่มคนเพื่อขอความช่วยเหลือได้
    หากคุณออกรถไปที่ไกลๆ ตามเส้นทาง/สถานที่ที่คนร้ายบอก จะทำให้คนร้ายตามตัวคุณได้ง่าย เพราะคุณไม่รู้จักสถานที่นั้นดีเท่าเขา

    5. ข้อแนะนำสำหรับการเดินไปที่รถของคุณในลาน/โรงจอดรถ
    ก.) จงระวัง:
    มองไปรอบๆ ตัวของคุณ
    มองเข้าไปในรถของคุณ
    มองลอดไปบนพื้นฝั่งที่นั่งข้างคนขับ
    และเบาะหลัง
    ข.) ถ้ารถของคุณมีรถตู้จอดอยู่ข้างๆ
    ให้ขึ้นรถทางฝั่งผู้โดยสารข้างคนขับ
    คนร้ายจะจู่โจมเหยื่อของมันโดยการฉุด
    ขึ้นรถตู้ในขณะที่เหยื่อกำลังจะเปิดประตูขึ้นรถ
    เพราะฉะนั้นรถตู้น่าสงสัยเหล่านี้จึงมักที่จะจอดอยู่ฝั่งคนขับ
    ค.) ให้มองไปที่รถที่จอดอยู่ข้างๆ คุณทั้งสองข้างของรถ
    ถ้าเจอผู้ชายนั่งอยู่คนเดียวในฝั่งที่อยู่ใกล้รถของคุณมากที่สุด
    สิ่งที่คุณควรทำคือเดินกลับเข้าไปในห้าง
    หรือออฟฟิตเพื่อขอให้ยาม รปภ. หรือตำรวจเดินมากับคุณ
    เพื่อส่งคุณขึ้นรถ

    ไม่ต้องไปคิดมากกว่าคนอื่นหรือตำรวจจะมองคุณโรคจิตหรือเปล่า
    เพราะการระมัดระวังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในสถานการณ์อันน่าสงสัยนั้น
    จงตระหนักอยู่เสมอว่า ปลอดภัยไว้ก่อน...

    6. จง ใช้ลิฟต์ตลอดแทนที่จะใช้บันใด
    เพราะบันใดเป็นสถานที่ที่แย่ที่สุดที่ผู้หญิงจะอยู่คนเดียว
    มันเป็นที่ๆ เพอร์เฟคสำหรับคนร้าย และน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งในยามวิกาล

    7. ถ้าคนร้ายมีปืน...
    แต่คุณไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา จงวิ่ง!!
    เพราะโอกาสที่คนร้ายจะยิงถูกคุณมีเพียง 4 ครั้งใน 100 ครั้งเท่านั้น (เป้าวิ่ง)
    และเป็นไปได้สูง ว่าจะไม่โดนอวัยวะสำคัญ
    วิ่งงงงงงง!! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...การวิ่งซิกแซก

    8. จุดอ่อนของผู้หญิงส่วนใหญ่คือ ขี้สงสาร ขี้เห็นใจ จงหยุดซะ
    เท็ด บันดี้ เป็นฆาตรกรหน้าตาดีและการศึกษาสูง เขาใช้จุดอ่อนข้อนี้ของผู้หญิงเพื่อลวงมาฆ่าเสมอ
    เพราะฉะนั้นจงมีเหตุมีผล ดูสถานการณ์ด้วยความระมัดระวัง
    จงช่างสังเกต หากพบข้อสงสัยแม้เพียงข้อเดียว ก็ควรจะลีกเลี่ยงบุคคลนั้นๆ ให้เร็วที่สุด

    9. เรื่องที่ควรตระหนักอีกข้อ:
    เพิ่งจะมีคนมาเล่าให้ฉันฟังว่า เพื่อนสาวของได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กตอนกลางคืน และเธอก็คาดว่า
    เสียงนั่นดังมาจากระเบียงบ้านของเธอ เธอเลือกที่จะโทรแจ้งตำรวจแทนที่จะออกไปดูด้วยตัวเอง นั่น
    เป็นเพราะว่าเธอมีลางสังหรณ์ว่านั่นอาจจะเป็นกลลวง และตำรวจก็สั่งกับเธอว่า "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
    ห้ามเปิดประตูเด็ดขาด"
    เธอจึงเล่าให้ตำรวจฟังอีกว่า เสียงนั่นฟังดูเหมือนว่าเด็กนี่ได้คลานมาใกล้หน้าต่างของ และเธอก็เป็นกังวลว่าถ้าหากเด็กคนนี้คลานออกไปถึงถนนก็จะถูกรถชน
    ตำรวจจึงสั่งเธอว่า "ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างทางไปบ้านเธอแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ห้ามเปิด
    ประตูเด็ดขาดไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรหรือเกิดอะไรขึ้น ตำรวจย้ำถึงสามรอบ"
    ตำรวจเล่าให้เธอฟังต่อว่า พวกเขาคิดว่าน่าจะเป็นฆาตรกรที่ใช้วิธีเปิดเทปเสียงเด็กร้องไห้ เพื่อจะหลอก
    หล่อให้ผู้หญิงออกจากบ้านมาดู โดยที่ฆาตรกรหวังใช้จุดอ่อนของผู้หญิงคือ ความขี้เห็นใจ ขี้สงสาร นั่นเอง
    แต่ทางตำรวจก็ยังจับตัวฆาตรกรกลุ่มนี้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็มีการโทรมาแจ้งและได้เล่าเรื่องเดียวกัน คือได้
    ยินเสียงเด็กมาจากนอกบ้าน หน้าต่าง หน้าประตู เวลากลางคืน และทุกสายที่โทรมาแจ้งล้วนแต่เป็นผู้
    หญิงที่อยู่บ้านคนเดียวทั้งสิ้น

    10. ถ้าคุณตื่นขึ้นมากลางดึก และได้ยินเสียงเหมือนว่าก๊อกน้ำถูกเปิดอยู่ หรือท่อน้ำของคุณแตกนอกบ้าน ห้ามออกไปเดินสำรวจเด็ดขาด! เพราะมีคนกลุ่มนึงจะเข้าไปเปิดก๊อกน้ำบ้านคุณให้สุด เพื่อให้คุณได้ยินและออกมานอกบ้าน นั่นคือเวลาที่พวกเขาจะโจมตีคุณ

    จงมีสติอยู่ตลอดเวลา, อยู่อย่างระมัดระวัง, ตรวจสอบความปลอดภัย, และอย่าลืมดูแลกันเองระหว่าง
    คุณกับเพื่อนบ้านด้วย!




    กรุณาส่งอีเมลฉบับนี้..เพื่อเผยแพร่มัน
    เพราะ ในอีเมลนี้ …
    เรื่องเทปเสียงเด็กร้องไห้ ได้ถูกกล่าวว่ากลุ่มฆาตรกรกลุ่มนี้เป็นที่ต้องการอันดับหนึ่งของตำรวจใน
    สหรัฐอเมริกา
    ฉันอยากให้คุณส่งมันให้กับคนอื่นๆ ด้วย เพราะมันอาจช่วยชีวิตคนได้อย่างแน่นอน. แสงไฟจากเทียนไข
    เล่มหนึ่งจะไม่มีวันมืดลงหากมีเทียนเล่มอื่นๆ มาสานแสงไฟจากเทียนเล่มนั้นต่อ ฉันคิดว่าจะส่งอีเมลนี้ให้
    กับผู้หญิงเพียงอย่างเดียว, แต่จริงๆ แล้ว.. ผู้ชายทั้งหลาย... ถ้าคุณรักแม่ของคุณ ภรรยา พี่สาวน้อง
    สาว ลูกสาว ฯลฯ
    คุณอาจจะอยากส่งมันเหมือนกัน

    Friday, May 14, 2010

    TheClyde's humor archive: Worms

    A biology teacher wished to demonstrate to his students the harmful effects of alcohol on living organisms. For his experiment, he showed them a beaker with pond water in which there was a thriving civilization of worms. When he added some alcohol into the beaker the worms doubled-up and died.

    "Now," he said, "what do you learn from this?"
    An eager student gave his answer.

    "Well the answer is obvious," he said "if you drink alcohol, you'll never have worms."

    Thursday, March 25, 2010

    (email forwarding)

    วันที่ในหลวงเสด็จกลับวังสวนจิตรลดา เรากะพ่อนั่งดูทีวีกัน
    ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทอดพระเนตรสายน้ำเจ้าพระยาเบื้องหน้า ข้างพระองค์...มี
    คุณทองแดงสุนัขทรงเลี้ยงที่แสนซื่อสัตย์ ...

    ภาพนั้นเราจะจำไม่ลืม...


    พลันก็มีเสียงพ่อพูดเบาๆ เล่าเรื่องบางเรื่องที่ทำให้เราอยากส่งต่อ......

    พ่อเล่าถึงเรื่องของเพื่อนรักคนหนึ่งที่นั่งคุยกันระหว่างจิบเบียร์ในคืนที่ฝนตกพรำๆ เพื่อนรักของพ่อคนนั้นเล่าว่า...
    วันหนึ่งนั่งรถแท็กซี่ แท็กซี่ก็พูดเรื่องราวต่างๆ มากมายอย่างที่แท็กซี่สมัยนี้ชอบพูดกัน เพื่อนพ่อนั่งฟังอยู่สักพักก็บอกกับคนขับว่า ขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหม
    ผมไม่ใช่สีอะไร หรือเสื้อสีอะไรทั้งนั้น แต่แค่สงสัยว่าคนไทยเป็นอะไรกัน..

    ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งไปแย่งอำนาจการปกครองมา
    มีครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่แสนจะธรรมดาหลบหลีกความวุ่นวายขณะนั้น
    ไปใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะ ณ แดนไกล
    อาศัยอยู่ตามอัตภาพในประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่ง
    จากนั้นเมื่อคนกลุ่มที่ได้อำนาจตกลงกันไม่ได้ ก็ตามให้ครอบครัวนั้นกลับมา
    แล้วคนในครอบครัวเล็กๆ ธรรมดานั้นก็ทำงานให้คนไทยมาตลอดทั้งชีวิต อย่างทุ่มเท
    แล้วพอวันเวลาผ่านไป...จู่ๆ ก็มีคนมาไล่คนๆ นั้นที่ทำงานอย่างไม่เคยอยากได้อะไรตอบแทน...
    คุณจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน เมื่อเขามีอายุมากขนาดนี้
    ถ้าเป็นผมครบ 60 ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาตรากตรำทำงานอีก
    ผมเองนี่ก็ใกล้แล้ว นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ
    คุณจะให้เขาไปอยู่ไหน...
    คนไทยเป็นอะไรกันไปแล้ว...

    ความคิดที่ไม่ซับซ้อนของเพื่อนพ่อ และการเล่าเรื่องที่ฟังง่ายๆ แต่เราว่ามันลึกซึ้งเหลือเกินในความรู้สึก
    เราคิดว่าคงไม่ใช่แค่คนขับแท็กซี่หรอกที่นิ่งอึ้งไป เราก็รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นอะไรสักอย่างอยู่ในลำคอ
    คุณก็คงเหมือนกัน...ถ้าคุณยังพอมีความทรงจำเกี่ยวกับท่านอยู่บ้าง

    ท่านที่ทรงงานหนักเพื่อคนไทย
    ท่านผู้ทรงไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเศรษฐีเหมือนที่หลายคนทำ
    ท่านที่ทรงเป็นพระผู้ให้คนไทยมากว่า 60 ปี
    ท่านผู้ทรงมีพระชนมายุกว่า 80 พรรษา
    คุณอยากได้อะไรจากท่านอีกหรือ
    คุณเคยทำอะไรให้ใครเท่าท่านผู้นี้หรือไม่...