Thursday, November 22, 2018

ภรรยาของเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุมา 4 ปีแล้ว
เขารู้สึกเคว้างคว้าง ไม่รู้จะทำหน้าที่ของพ่อและแม่ให้ลูกชายได้อย่างไร?

ค่ำวันเสาร์ หลังจากที่เขากลับมาจากทำงาน เขาทักทายลูกไม่กี่คำ ก็เข้าห้องอยากนอนด้วยความเพลีย
หลังจากถอดสูทออกแล้ว ก็ล้มตัวลงไปนอนบนเตียง
“เพล้ง” เสียงเหมือนชามอะไรแตกสักอย่าง

เมื่อเขาเปิดผ้าห่มดู ชามบะหมี่กับจานแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งน้ำและเส้นหกเลอะผ้าห่มและที่นอน
เขาหยิบไม้แขวนเสื้อเดินออกไปหิ้วแขนลูกชายที่กำลังเล่นของเล่น จากนั้นก็ตีไปที่ก้นของลูกด้วยความโมโห
ลูกชายร้องไห้ด้วยความเจ็บ

เขาถามลูกออกไปด้วยความโมโห
“ทำไมเอาบะหมี่ไปกินบนเตียงพ่อ?”

ลูกชายร้องไห้สะอึกสะอื้นบอกกับเขาว่า
“ข้าวที่พ่อหุงไว้เมื่อเช้าผมกินหมดแล้ว ตอนเย็นนี้ผมหิวข้าว แต่พ่อยังไม่กลับมา..

ผมก็เลยหามาม่าจากในครัว แต่พ่อบอกผมว่าไม่ให้ยุ่งกับแก๊ส ผมก็เลยเอาน้ำอุ่นจากตู้น้ำดื่มมาชงมาม่า ผมกินไปชามหนึ่งแล้ว

อีกชามหนึ่งผมชงให้พ่อ แต่ผมกลัวว่ามันจะเย็นไปซะก่อนที่พ่อจะกลับมา ผมก็เลยเอาผ้าห่มคลุมไว้ ตอนที่พ่อกลับมาผมมัวแต่เล่น จึงลืมบอกพ่อ ผมขอโทษครับพ่อ! ”

เขาปล่อยมือลูกและรีบหันหน้าหนีเดินไปที่ห้องน้ำ เมื่ออยู่ในห้องน้ำ เขาก็เปิดน้ำเสียงดังเพื่อกลบเสียงร้องไห้โฮของเขา
เขานั่งอยู่ในห้องน้ำครู่ใหญ่

เมื่อออกมาจากห้องน้ำ เขาเดินไปที่ห้องของลูกชาย เห็นลูกชายนอนหลับอยู่บนเตียงพร้อมกับกอดรูปของแม่อยู่ในอ้อมกอด ใบหน้ายังเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา
จากเหตุการณ์ในวันนั้น เขาสัญญากับตัวเองว่าจะดูแลลูกให้ดีกว่านี้ แต่เมื่อลูกชายเข้าเรียนชั้นประถมได้ไม่นาน เขาก็ตีลูกชายอีกครั้ง

ช่วงก่อนวันแม่ไม่กี่วัน วันนั้นคุณครูประจำห้องก็โทรศัพท์มาบอกเขาว่าลูกชายไม่ได้มาเรียน และวันนี้ก็มีการแสดงของเด็กนักเรียนด้วย
เขารีบลางานเพื่อไปตามหาลูกชาย เขาเดินตามหาลูกชายแถวบริเวณหน้าโรงเรียนแต่ก็ไม่เจอ

เมื่อเดินไปที่สวนสาธารณะ ก็เห็นลูกชายกำลังยืนอยู่หน้าเครื่องเล่นสไลเดอร์ เขาโมโหลูกชายมาก จึงตีลูกชายอีกครั้ง ครั้งนี้ลูกชายไม่ได้แก้ตัวอะไรใดๆ เอาแต่กล่าวคำขอโทษเขาเท่านั้นเอง

หลังจากนั้นหนึ่งปี เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากบุรุษไปรษณีย์ ว่าลูกชายของเขานำจดหมายปึกใหญ่ที่ไม่มีที่อยู่ใส่ไว้ที่ตู้ไปรษณีย์หน้าบ้าน และช่วงนี้ก็เป็นช่วงปีใหม่ เจ้าหน้าที่ไม่มีเวลาว่างมาสนุกกับสิ่งที่ลูกชายเขาทำหรอก

เมื่อเขาทราบดังนั้น ก็รีบบึ่งรถไปที่ไปรษณีย์เพื่อนำจดหมายปึกใหญ่นั้นกลับมา

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาก็โยนจดหมายปึกนั้นให้ลูกชายดู
“ทำไมลูกทำอย่างนี้?”

ลูกชายเมื่อเห็นจดหมายก็ร้องไห้
“นี่เป็นจดหมายที่ผมเขียนส่งให้แม่”

เขาได้ฟังก็สะท้อนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงถามลูกชายออกไปว่า
“ทำไมส่งครั้งเดียวตั้งเยอะตั้งแยะ?”

“จดหมายปึกนี้ผมเขียนมาตั้งแต่แม่ตาย แต่เมื่อก่อนผมยื่นจดหมายใส่ตู้ไม่ได้ เพราะผมยังตัวเล็ก
ตอนนี้ผมสูงพอที่จะหย่อนจดหมายใส่ตู้ได้ ผมก็เลยเอาจดหมายที่เขียนถึงแม่ไว้ทั้งหมดส่งให้แม่อ่านพร้อมๆกัน!”

เมื่อเขาได้ฟังลูกบอก น้ำตาก็คลอเบ้าตา ไม่รู้จะบอกลูกยังไงดี เขาจึงก้มตัวลงไปกอดลูกไว้
“แม่ของลูกอยู่บนสวรรค์แล้ว

วันหลังถ้าจะเขียนจดหมายถึงแม่ พ่อจะเผาให้นะ จดหมายจะได้ส่งไปบนสวรรค์ให้แม่ได้อ่าน”

ค่ำวันนั้น เมื่อส่งลูกชายเข้านอนแล้ว เขาจึงหยิบจดหมายปึกใหญ่นั้นมาอ่าน มีจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง ที่ทำให้เขาสะเทือนใจมาก

“ แม่ครับ ผมคิดถึงแม่
วันนี้ ที่โรงเรียนมีการแสดงของแม่ลูก ผมไม่มีแม่ เลยไม่ได้แสดงด้วย ผมไม่ได้บอกกับพ่อ กลัวว่าพ่อจะคิดถึงแม่

แต่พ่อก็ลางานมาตามหาผม ผมไม่อยากให้พ่อรู้ว่าผมเหงา ผมเลยแสร้งไปเล่นที่สวนสนุก แม้ว่าพ่อจะด่าผมตีผม แต่ผมก็ไม่ได้เล่าความจริงให้พ่อฟัง

แม่ครับ ผมเห็นพ่อนั่งกอดรูปของแม่ทุกวันเลย ผมรู้ว่าพ่อก็คิดถึงแม่เหมือนกับผม แม่ครับ
ผมจำไม่ได้แล้วว่าเสียงของแม่เป็นยังไง? แม่มาเข้าฝันผมหน่อยได้ไหม ขอให้ผมได้เห็นหน้าแม่อีกสักครั้ง ขอให้ผมได้ฟังเสียงของแม่อีกสักครั้งได้ไหมครับ?

ลุงข้างบ้านบอกผมว่า หากเราคิดถึงใคร ก่อนนอนให้กอดรูปของเขาไว้ที่อก แล้วเราจะฝันถึงเขาคนนั้น

แต่แม่ครับ ผมกอดรูปแม่ไว้กับอกทุกวัน ทำไมแม่ไม่มาเข้าฝันผมเลยละครับ! ”

เมื่อเขาอ่านจบ เขาก็กลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่ให้ดังออกมากลัวลูกได้ยิน เขาเอาแต่ถามตัวเองว่า จะทำอย่างไรถึงจะทดแทนความรู้สึกกำพร้าแม่ของลูกได้?
…………………..
เมื่อเราเป็นผู้สร้างลูกให้เกิดมาบนโลกนี้ เราต่างมีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตที่เกิดขึ้นมานั้นร่วมกัน

หากคุณเป็นแม่ อย่าได้เอาแต่ทำโอที
หากคุณเป็นพ่อ อย่าเอาแต่เลิกงานแล้วไปสังสรรค์กับมิตรสหาย

ขอให้คุณทั้งหลายดูแลสุขภาพให้ดี คุณจึงจะมีโอกาสได้อยู่ดูแลลูก ได้เห็นการเจริญเติบโตของลูก ได้เห็นความสำเร็จของลูกไปพร้อมๆกัน

อย่าได้ทำแต่งานหาแต่เงินจนลืมดูแลสุขภาพ มีชื่อเสียงเงินทองแต่สุขภาพทรุดโทรม แล้วจะมีประโยชน์อะไร!

อย่าได้เอาแต่คิดว่า รอฉันมีเงินก่อนแล้วค่อยทำอันโน้นทำอันนี้!
เพราะไม่มีใครอาจล่วงรู้ได้ว่า นาทีต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น? วันหน้าจะมีได้อีกสักกี่ครั้ง ! ...

Monday, August 21, 2017

จากเรื่อง Jack Ma เปิด Smart Supermarket

...เมื่อคุณป้าท่านนึง ณ เมืองหางโจว (ใกล้เซี่ยงไฮ้) ตอบคำถามนักข่าว คุณป้าก็ดังขึ้นมาทันทีในชั่วข้ามคืน

นักข่าว : Jack Ma เปิด Smart Supermarket แบบไร้คน คุณป้าคิดว่ายังไงครับ?
คุณป้า : หา? Super ไร้คน แล้วทำไมไม่ปิดไปซะล่ะ ไม่มีคน?

นักข่าว : คุณป้าครับ ความหมายคือไม่มีพนักงาน คนเก็บเงินอะไรพวกนี้น่ะครับ
คุณป้า : งั้นก็ต้องเรียก Supermarket ไร้พนักงานซิ เห้อ! ไม่รู้พวกเธอเป็นนักข่าวกันได้ยังไง ระดับความรู้ภาษาแบบนี้

นักข่าว : ครับๆ แล้วคุณป้าคิดเห็นยังไงกับ Supermarket ไร้พนักงานครับ?
คุณป้า : Supermarket ไม่ต้องจ้างพนักงานแล้ว ราคาสินค้าถูกลงหรือเปล่า?
นักข่าว : คือเรื่องนี้เราไม่แน่ใจครับ

คุณป้า : เอ้า พวกเธอเป็นนักข่าวได้ยังไง ปัญหาของประชาชนไม่ไปใส่ใจ วันๆ สนใจแต่ว่า Jack Ma จะเล่นแร่แปรธาตุอะไร เรื่องที่คนสนใจคืออะไร? คือมีของปลอมไหม ราคาถูกลงหรือเปล่า ส่วนเรื่อง Supermarket จะมีพนักงานหรือเปล่า มันไม่ได้เกี่ยวกับฉันเลย

นักข่าว : คุณป้าไม่คิดว่าการเกิดขึ้นของ Supermarket แบบไร้พนักงาน จะเปลี่ยนแปลงวิธีการจับจ่ายสินค้าแบบเดิมๆได้เหรอครับ
คุณป้า : เปลี่ยนอะไรล่ะ? ซื้อของจ่ายตังค์อ่ะหรอ? ใช้ Alipay จ่าย ก็ใช้ตังค์ฉันจ่ายไม่ใช่เหรอ

นักข่าว : ผมคิดว่าคุณป้าคงยังไม่ค่อยเข้าใจเทรนด์ที่เปลี่ยนไปของยุคสมัย
คุณป้า : นี่ แค่ทำให้ Supermarket ไม่มีพนักงาน ก็คือเทรนด์ที่พัฒนาแล้วเหรอ แค่เอาพนักงานระดับล่างออกก็เก่งแล้วเหรอ? ถ้าเก่งจริงก็ทำ Supermarket ที่ไม่มีเจ้าของสิ หรือทำหน่วยงานรัฐที่ไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐ

นักข่าว : ไม่ทราบว่าคุณป้ามีปัญหาอะไรกับ Jack Ma หรือเปล่าครับ?
คุณป้า : ฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับ Jack Ma แต่ฉันคิดว่านักข่าวไร้สาระอย่างพวกเธอถามคำถามที่ไม่ตรงจุด Jack Ma เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเรา แต่มันไม่ควรจะเป็นแค่การเปลี่ยนแปลง สิ่งที่เราต้องการคือการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับความสุข ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ทำให้เรามีความสุข แต่กลับเพิ่มความยุ่งยากมากมาย สิ่งนี้ต่างหากที่นักข่าวอย่างพวกเธอควรจะให้ความสนใจ

นักข่าว : มึนตึ้บ...

คุณป้าน่าจะจบสูงมาก ถึงตอบคำถามนักข่าวได้เก่งขนาดนี้ เงิบเลยทีเดียวนักข่าว 5555 ชอบๆๆ

Credit : 金融头条
แปล : mangu86 (Boom Choksupat)

Saturday, July 1, 2017

ผู้สำรวจความสุขคนไข้ ของโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล

“ขาที่ใส่อยู่คู่ละ 5 ล้านบาท ในสมัยที่ธันย์เกิดอุบัติเหตุเป็นขาที่ดีที่สุดในโลก องค์สมเด็จพระเทพฯทรงเห็นว่าเราสามารถที่จะช่วยเหลือสังคมต่อได้ ท่านก็เลยทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้น้องธันย์” เหยื่อรถไฟฟ้าสิงคโปร์ ผู้ได้รับเลือกให้ทำงานโรงพยาบาล เงินเดือน  1 ล้าน !

        “น้องธันย์” เด็กสาวที่ประสบอุบัติเหตุตกชานชาลารถไฟฟ้าที่สิงคโปร์จนถูกตัดขา 2 ข้างเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ได้รับคัดเลือกให้ทำงานตำแหน่ง “ผู้สำรวจความสุขคนไข้” ของโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล เงินเดือน 1 ล้านบาท นาน 6 เดือน เจ้าตัวสุดปลื้มเหมือนได้ชีวิตใหม่ เงิน 6 ล้านซื้อขาเทียมใหม่ได้เลย เนื่องจากที่ใส่อยู่มีอายุใช้งาน 5 ปี ซึ่งสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานของที่ดีที่สุดในโลกให้ ราคาสูงถึงคู่ละ 5 ล้านบาท
      
       น.ส.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ หรือ น้องธันย์ เด็กสาวที่ประสบอุบัติเหตุตกชานชาลารถไฟฟ้าที่สิงคโปร์ และถูกรถไฟทับจนต้องตัดขาทั้งสองข้าง ระหว่างเดินทางไปศึกษาด้านภาษา โดยขณะเกิดเหตุเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เธอมีอายุเพียง 14 ปี โดยหลังจากเกิดเหตุสังคมยังได้รับรู้เรื่องราวของ น้องธันย์ เป็นระยะๆ ในเรื่องของเด็กสาวที่มีความคิดบวกและมีกำลังใจที่ดีมาก ซึ่งเราจะเห็นน้องยิ้มแย้ม พูดจาอย่างมีความสุขทุกครั้ง
      
       จนกระทั่งล่าสุดวันที่ 24 มิ.ย. 2560 น้องธันย์ ได้ตกเป็นข่าวอีกครั้ง จากโครงการของโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ที่เปิดรับสมัครงานในตำแหน่ง “ผู้สำรวจความสุขคนไข้” โดยจะได้รับเงินเดือน 1 ล้านบาท เป็นเวลา 6 เดือน จากผู้สมัครเกือบพันคน คัดเลือกเหลือรอบสุดท้าย 12 คน มาจากอาชีพที่หลายหลาย มีทั้งแพทย์ จิตแพทย์ ผู้ประกาศข่าว ไลฟ์โค้ชชื่อดัง อดีตนักร้อง คุณครู พยาบาล ฯลฯ ซึ่งทั้ง 12 คน ได้ร่วมให้สัมภาษณ์ในรายการ “ตีสิบเดย์” ออกอากาศทางช่อง 3
      
       โดย น้องธันย์ ได้นำเสนอคุณสมบัติของตัวเองที่สมควรได้รับตำแหน่งดังกล่าว ว่า ตนตกรถไฟฟ้า 6 ปีที่แล้ว เสียขา 2 ข้าง จากประสบการณ์เกิดอุบัติเหตุแล้วฟื้นมาได้ด้วยตัวเอง เพราะมีวิธีคิดที่ดีต่อตัวเอง และสามารถส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนอื่น ปัจจุบันใส่ขาเทียม แต่สามารถทำกิจกรรมได้ทุกอย่าง แค่มีความมั่นใจ ร่างกายไม่ใช่อุปสรรค
      
       จากนั้น ผอ.โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ได้ประกาศผลในรายการ ผลก็คือ น้องธันย์ เป็นผู้ได้รับเลือกให้ทำงานดังกล่าว
      
       ศ.นพ.อดิศร ผอ.โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ให้เหตุผลที่เลือกน้องธันย์ ว่า น้อยคนนักที่เสียขา 2 ข้าง แล้วสามารถลุกขึ้นมาได้ภายในไม่กี่ปี แล้วน้องยังได้ทำกิจกรรมการกุศลมาตลอด และมีความคิดบวก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส่ สามารถพูดคุยกับคนไข้ คนไข้เจอแล้วน่าจะหายป่วยได้ แม้อายุจะเด็กไป แต่เชื่อว่าอายุไม่ใช่อุปสรรค เลยลงมติว่าเลือกน้องธันย์
      
       ส่วนภารกิจของตำแหน่งผู้สำรวจความสุขคนไข้ มีภารกิจหลัก 3 ข้อ คือ 1. ทุกวันต้องไปถามผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาล ว่า อาการเจ็บป่วยเป็นยังไง อยากได้อะไรถึงจะมีความสุขและหายจากโรคภัยไข้เจ็บนี้ และให้กำลังใจผู้ป่วยด้วย 2. เมื่อสำรวจแล้วก็ต้องบันทึกให้สังคมทราบว่าทำยังไงให้ผู้ป่วยมีความสุขได้ เพื่อให้คนได้อ่าน และสามารถเป็นข้อมูลอ้างอิงให้โรงพยาบาลอื่นใช้ทำงานนี้ต่อไปได้ เราต้องการสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม 3. เป็นตัวแทนของโรงพยาบาลในการทำซีเอสอาร์
      
       น้องธันย์ ได้กล่าวหลังได้รับเลือก ว่า ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกคน เหมือนมอบประสบการณ์กลับมาให้ตน และเหมือนมอบชีวิตใหม่ให้ 6 ล้านบาทนี่ เอาไปซื้อขาคู่ใหม่ได้เลย ขาที่ใส่อยู่มีอายุ 5 ปี ราคาคู่ละ 5 ล้าน เป็นขาที่ดีที่สุดในโลก สมเด็จพระเทพฯ พระราชทานให้ เพราะทรงเห็นว่าตนช่วยเหลือสังคมต่อได้ ทั้งนี้ ตนจะทำงานนี้อย่างเต็มที่ จะทำให้สำเร็จแน่นอน
      
       “ขาที่ใส่อยู่คู่ละ 5 ล้านบาท ในสมัยที่ธันย์เกิดอุบัติเหตุเป็นขาที่ดีที่สุดในโลก องค์สมเด็จพระเทพฯทรงเห็นว่าเราสามารถที่จะช่วยเหลือสังคมต่อได้ ท่านก็เลยทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ ธันย์ก็เลยตั้งปณิธานที่ท่านมอบให้ ว่า เราจะใช้ขาคู่นี้ให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ นั่นก็คือการทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เราไม่คิดว่าร่างกายจะเป็นอุปสรรค” น้องธันย์ กล่าว

"คำเดียว"เปลี่ยนมุมคิด

[หนุ่มเมืองจันท์ มติชน]

รู้ไหมครับว่าทำไมดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารธนาคารไทยพาณิชย์จึงตัดสินใจเข้าสู่วงการธนาคาร
ทั้งที่เขาไม่ได้เรียนจบด้านไฟแนนซ์

ดร.วิชิตจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ปริญญาโทและเอกด้านบริหารธุรกิจตอนที่เรียนจบมาเขาไม่เคยคิดว่าทำงานในแวดวงการเงินเลย

ผู้บริหารแบงก์กรุงเทพเคยให้เพื่อนมาชวนเขาหลายครั้งให้ไปทำงานที่แบงก์

ชวนกี่ครั้ง เขาก็ปฏิเสธทุกครั้ง

จนวันหนึ่งเพื่อนบอกว่าให้ไปปฏิเสธผู้ใหญ่เองได้ไหม
ขี้เกียจเป็น"คนกลาง"แล้ว
เขาจึงตัดสินใจไปคุยกับผู้ใหญ่
ปฏิเสธไปอีกครั้ง

แต่ผู้ใหญ่คนนั้นบอกว่าให้เข้าไปคุยกับคุณบุญชู โรจนเสถียร ซึ่งตอนนั้นเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของแบงก์กรุงเทพเอง

เชื่อไหมครับ. คุณบุญชูไม่ได้คุยเรื่องตำแหน่งงานเลย

เขาเริ่มต้นด้วยการเล่าให้ฟังว่าเพิ่งไปคุยกับ"ร็อคกี้ เฟลเลอร์"มา
มหาเศรษฐีของโลกในยุคนั้นบอกว่าเรื่องใหญ่สุดของแบงก์ต่อไป คือ เรื่อง Fund management
"คุณรู้เรื่องนี้ไหม"คุณบุญชูถาม
"วิชิต"ส่ายหน้า
"ผมไม่รู้เรื่องครับ"
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน"คุณบุญชูบอก"คุณก็ไม่รู้ ผมก็ไม่รู้"
แล้วทิ้งหมัดเข้ามุม
"งั้นเรามาหาความรู้ด้วยกัน"
ไม่ได้ชวนมาทำงาน
แต่ชวนมาหา"ความรู้ใหม่"ด้วยกัน
ครับ. เพียงประโยคนี้ประโยคเดียว
  คุณวิชิตก็ตัดสินใจเข้าทำงานที่แบงก์กรุงเทพ
และอยู่ในวงการธนาคารมาตลอดนับตั้งแต่วันนั้น
ผมฟังเรื่องนี้แล้ว นึกถึงตอนที่"สตีฟ จ็อบส์"เชิญ"จอห์น สคัลลีย์"ผู้บริหารของเป๊ปซี่
เขาใช้"ประโยคเดียว"เปลี่ยนชีวิตเหมือนกัน
"คุณอยากใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตขายน้ำหวานต่อไป หรืออยากจะเปลี่ยนแปลงโลกด้วยกัน"
หมัดเดียวอยู่เลย
คนเราทุกคนต้องเจอประโยคเปลี่ยนชีวิตเช่นนี้อยู่เป็นประจำ
ล่าสุด ผมเพิ่งได้นั่งคุยกับดร.วิชิต อีกครั้ง
มีเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมาก
เป็นเรื่อง"ประโยคเดียว"เหมือนกัน
แต่ครั้งนี้ไม่ได้"เปลี่ยนงาน"
หากเป็น"ประโยคเดียว"ที่เปลี่ยน"ความคิด"ของเขา
และไม่ได้มาจาก"ผู้ใหญ่"คนไหน
แต่มาจาก"ลูกน้อง"คนหนึ่ง
ดร.วิชิต เป็นคนทำงานจริงจัง. ทำงานทุกอย่างต้องเนี๊ยบ. ห้ามผิดพลาด
จนวันหนึ่งระหว่างที่คุยงานกับลูกน้อง
คุยกันหลายเรื่อง และอาจมีความคิดเห็นบางอย่างไม่ตรงกัน
ตามปกติลูกน้องจะยอมทำตาม"วิชิต"
แต่ครั้งนี้ลูกน้องคงเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง
เขาเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง
"ผมขอลองผิดบ้างได้ไหมครับ"
เชื่อไหมครับ เพียงแค่ประโยคเดียว เปลี่ยนความคิดของดร.วิชิตไปเลย
เขาเคยเชื่อมั่นว่าการทำงานต้องถูกต้อง
   ห้ามผิดพลาดเป็นอันขาด
แต่เพียงประโยคเดียวของลูกน้องทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาว่าที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้ทำงานถูกต้องทั้งหมด
เขาก็เคยผิด
แล้วทำไมลูกน้องจะผิดพลาดบ้างไม่ได้
ในโลกนี้ถ้าทำทุกอย่างระมัดระวังมากเกินไป. ไม่กล้าออกจากกรอบเดิมที่เคยทำ
กลัวจะทำอะไรผิด
"ความคิดสร้างสรรค์"คงไม่เกิด
"สิ่งใหม่-ของใหม่"ในโลกนี้ล้วนเกิดจาก"ความกล้าหาญ"ที่จะทดลอง
ไม่ใช่ลองถูก
แต่ลองผิด

นี่คือ ประโยคเดียวเปลี่ยนความคิด
ของ"วิชิต สุรพงษ์ชัย"

Tuesday, June 13, 2017

มหัศจรรย์ทั้ง 7 ของโลก

ครูถามนักเรียนว่า “อะไรคือมหัศจรรย์ทั้ง 7 ของโลก”

คำตอบมีต่างกันบ้าง แต่นักเรียนส่วนใหญ่ก็เลือกคำตอบดังนี้

1.ปิรามิดแห่งอียิปต์
2.ทัชมาฮาล
3.ยอดเขาแกรนด์แคนย่อน
4.คลองปานามา
5.ตึกเอ็มไพร์สเตท
6.วิหารเซนต์ปีเตอร์
7.กำแพงเมืองจีน

ระหว่างที่รวบรวมคำตอบอยู่แล้ว ครูผู้สอนสังเกตเห็นว่า มีนักเรียนที่ยังไม่เสร็จอยู่คนหนึ่ง ครูจึงถามเธอว่า เด็กหญิงเลือกไม่ถูกหรืออย่างไร

เด็กหญิงตอบว่า “ค่ะ หนูไม่ทราบว่าจะเลือกอันไหนดี เพราะมันช่างมีมากมายเหลือเกิน”

ครูเอ่ยขึ้นว่า “งั้นหนู ก็ลองบอกให้ฟังหน่อยสิจ๊ะ เผื่อพวกเราจะช่วยได้”

เด็กหญิงรีรอสักครู่หนึ่ง ก่อนอ่านสิ่งที่ขีดเขียนไว้ในกระดาษว่า...

“หนูคิดว่า เจ็ดมหัศจรรย์ของโลกคือ...
1.การมองเห็น
2.การได้ยิน
3.การได้สัมผัส
4.การได้รู้รส
5.การได้รู้สึก
6.การได้ยิ้มหัวเราะ
7.การได้รัก

ทั้งห้องอึ้งเงียบ เงียบมากถึงขนาดได้ยินเสียงเข็มหล่นพื้นที่เดียว

เรามองข้ามสิ่งเรียบง่ายและแสนธรรมดาไปโดยสิ้นเชิง

เพราะถ้าไม่มี 7 สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดที่ธรรมชาติสร้างให้เรา มีหรือเราจะได้พบสิ่งมหัศจรรย์รองลงมา..!!

สิ่งที่มหัศจรรย์ มันอยู่ในตัวของเรา

ทักษะอะไรสำคัญต่อการใช้ชีวิต?

ถ้าจะถามว่า ทักษะอะไรสำคัญต่อการใช้ชีวิต:-

ทักษะหนึ่งที่สำคัญมาก แต่คนมักจะมองข้ามไป นั่นคือ “ทักษะการมีความสุข” หารู้ไม่ว่า ความสุขเป็นตัวผลักดันความสำเร็จ และเป็นส่วนผสมหลักของการมีความรักที่ดี วันนี้มีคำแนะนำเล็กน้อยเกี่ยวกับความสุขมาฝากกัน

1. ถ้าตอนนี้คุณไม่มีความสุข ในอนาคตคุณก็จะไม่มีความสุข เพราะมันคือนิสัยของคุณ นิสัยที่ชอบสร้างเงื่อนไขการมีความสุขให้ตัวเอง

2. หัดใส่ใจกับสิ่งที่คุณมี หรือข้อดีในชีวิต ตราบใดที่คุณมัวโฟกัสแต่สิ่งที่ยังไม่มี คุณจะไม่มีวันพบความสุข เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่คุณ ‘มี’ อะไร แต่อยู่ที่สิ่งที่คุณ ‘เป็น’ คนยังไง (เป็นคนที่โหยหาแต่สิ่งที่ตัวเองขาด) ไม่สนใจคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีในมือ

3. ถึงได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ความสุขคุณจะขึ้นมาแค่วูบเดียว หลังจากนั้นจะลดลงไปจุดค่าเฉลี่ยของคุณ แล้วคุณจะหันไปไขว่คว้า และทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่ได้ต่อไป เป็นวงจรไม่รู้จบ

4. คนที่รอความสุขจากคนอื่น น่าสงสารที่สุด “ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อเขาโทรมา” “ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อได้งานใหม่” ... หารู้ไม่ ว่าความสุขนั้นสร้างเองได้เลย โดยไม่ต้องรอเงื่อนไขใดๆ และไม่ต้องรอใคร

5. พื้นฐานของการมีความสุข คือการชื่นชมในสิ่งที่คุณมี ถ้าคุณนึกข้อดีในชีวิตคุณไม่ออก ให้ไปถามคนอื่น

6. การบ่นเรื่องที่ไม่ดี ไม่ได้ช่วยให้คุณสบายใจขึ้น กลับจะทำให้แย่ลง เพราะการเอามาเล่าใหม่ เป็นการฉายภาพนั้นซ้ำๆ อยู่ในหัว

7. โดยปกติความสุขมักอยู่ตรงหน้าคุณ แอร์เย็นๆ อาหารอร่อยๆ วิวสวยๆ แต่ใจคุณดันไปคิดเรื่องอื่นในหัว (เรื่องที่ไม่มีความสุข) ในตอนนั้นเอง แล้วก็ชอบมาบ่นว่าชีวิตไม่มีความสุข (ตลกสิ้นดี)

8. ตราบใดที่คุณยังเป็นคนธรรมดา คุณจะยังเจอความทุกข์อยู่เรื่อยๆ จงหัดเป็นคนมองโลกในแง่ดี มองหาประโยชน์ทุกครั้งจากเหตุการณ์แย่ๆ แล้วคุณจะมีกำไรชีวิตมากกว่าคนอื่น

9. คนเราชอบอยู่ใกล้คนมีความสุข ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบบ่นแต่ปัญหาตัวเอง มองแต่ด้านร้าย เอาแต่ด่าคนอื่น คนอยู่ใกล้ๆ ประสาทจะกิน สุดท้าย จิตใต้สำนึกของพวกเขาจะสั่งให้ค่อยๆ ห่างคุณไปโดยไม่รู้ตัว

10. ความสุขและการมองโลกในแง่ดีเป็นโรคติดต่อ จงอยู่ใกล้คนเหล่านี้เพื่อรับ และจงแพร่กระจายความสุขเพื่อให้คนอื่นต่อไป

11. ความสุขเป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันหมด และผลิตจากอากาศได้ทันที ดังนั้น ไม่ต้องกลัวคนอื่นแย่งความสุขไป ทุกคนสามารถมีได้มากเท่าที่ต้องการ

12. จงทำตัวเป็น Happiness machine เครื่องผลิตความสุข แล้วคนมีความสุขเหมือนกันจะถูกดึงดูดเข้ามาหาคุณ

13. ไม่มีคนไร้สุขที่ไหนจะมีความรักที่ดี ไม่มีคนขี้ระแวงมองโลกในแง่ร้ายที่ไหนจะมีความสัมพันธ์ที่สงบสุข

14. ความสุขปลายทางเป็นเพียงมายา จงมองหาความสุขที่มีอยู่ระหว่างทาง

15. ความสุขและการมองโลกในแง่บวกเป็นทักษะ นั่นหมายความว่า คุณสามารถ “ฝึก” ที่จะเป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่บวกได้