Saturday, November 23, 2013

20 คำคมโดนๆ

คำคมสร้างกำลังใจ แรงบันดาลใจ

ไม่ว่าคุณจะเบื่อหน่าย หรือเผชิญปัญหา ขอให้ไตร่ตรอง และมองด้านบวกเข้าไว้ และ 20 คำคมดีๆนี้ จะทำให้คุณสามารถมอบกำลังใจให้กับตัวเองได้อย่างดี

If it’s still in your mind, it’s worth taking the risk.
หากความท้าทายบางอย่างยังติดอยู่ในห้วงความคิด มันก็คุ้มค่าพอที่จะลองเสี่ยง

You can’t win unless you learn how to lose.
คุณไม่มีวันเป็นผู้ชนะได้ หากไม่เรียนรู้ที่จะแพ้เสียก่อน

Stay committed to your decisions
but stay flexible in your approach.
จงแน่วแน่ในการตัดสินใจ
แต่ให้ยืดหยุ่นกับการลงมือทำ

Respect yourself enough to know that you deserve the very best.
จงนับถือตัวเองให้มาก เพื่อที่จะรู้ว่าตัวคุณคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุด

Challenges are what make life interesting.
Overcoming them is what makes life meaningful.
ความท้าทายเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตน่าสนใจ
แต่การเอาชนะมันให้ได้ เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย

Failure is simply the opportunity to begin again this time more intelligently.
ความล้มเหลวคือโอกาสในการเริ่มต้นทำสิ่งเดิมอีกครั้งอย่างชาญฉลาดกว่าเดิม

Genius is 1 inspiration and 99 perspiration.
อัจฉริยะ เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจเพียง 1% ส่วนอีก 99% นั้น คือการลงมือทำ

Your future is created by what you do today, not tomorrow.
อนาคตของคุณขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณทำในวันนี้ ไม่ใช่วันพรุ่งนี้

Confidence comes not from always being right
but not fearing to be wrong.
ความมั่นใจไม่ได้มาจากการทำอะไรถูกต้องอยู่เสมอ
แต่มาจากการไม่กลัวที่จะทำอะไรผิด
The best way to cheer yourself up
is to cheer somebody else up.
วิธีให้กำลังใจตัวเองที่ดีที่สุด
คือการให้กำลังใจคนอื่น

Don’t give up the beginning is always the hardest.
อย่าเพิ่งยอมแพ้ จุดเริ่มต้นนั้นมักจะยากที่สุดเสมอ

The only thing constant in life is change.
สิ่งเดียวที่แน่นอนที่สุดในชีวิต คือความเปลี่ยนแปลง

Sometimes you find yourself in the middle of nowhere
and sometimes in the middle of nowhere you find yourself.
บางครั้ง คุณก็ค้นพบตัวเองหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง
แต่บางครั้ง ที่ที่คุณหลงทางอยู่นั้น คุณก็ได้ค้นพบตัวเองเช่นกัน

If you want to make peace, you don’t talk to your friends,
you talk to your enemies.
หากคุณอยากสร้างสันติ อย่ามัวแต่คุยกับมิตร
แต่จงหันหน้าคุยกับศัตรูแทน

Walking with a friend in the dark is better than walking alone in the light.
เดินกับมิตรในความมืดมิด ยังดีกว่าเดินลำพังในที่สว่าง

When someone say you’ve changed
it simply means you’ve stopped living your life their way.
หากใครสักคนบอกว่าคุณเปลี่ยนไป
นั่นหมายถึงว่า คุณไม่ได้ใช้ชีวิตตามแบบของพวกเขาแล้ว

Life is too short to waste time hating anyone.
ชีวิตคนเราสั้นเกินกว่าจะเสียเวลาเกลียดใคร

When the power of love overcomes the love of power
the world will know peace.
เมื่อไรที่อำนาจของความรัก ชนะความรักในอำนาจ
เมื่อนั้นโลกจะรู้จักความสงบสุข

Don’t promise when you are happy.
Don’t reply when you are angry.
Don’t decide when you are sad.
จงอย่าสัญญาใด ๆ ในขณะที่คุณกำลังมีความสุข
จงอย่าตอบโต้ในขณะที่คุณกำลังโกรธ
และจงอย่าตัดสินใจในขณะที่คุณกำลังเศร้า

We don’t stop playing because we grow old,
we grow old because we stop playing.
คนเราไม่ได้หยุดเล่น เพราะเติบโตขึ้น
แต่คนเราเติบโตขึ้นเพราะหยุดเล่นต่างหาก

Credit   http://variety.teenee.com/foodforbrain/57317.html

Friday, November 22, 2013

Generation ME

ฝากเพื่อนๆ» เลี้ยงลูกท่าไหน ถึงผลักไสให้เขา กลายเป็น Generation ME? » Gen ที่หลงตัวเองที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีข่าวที่ฮือฮามากในนิตยสาร “TIME” ที่ทำสกู๊ปหน้าปกเรื่อง “ME ME ME Generation” พร้อมภาพเด็กหญิงวัยสาวกำลังนอนราบกับพื้นและยกกล้องจากโทรศัพท์มือถือขึ้นโน้มลงมาถ่ายรูปหน้าตัวเอง

เนื้อหาเกี่ยวข้องกับคนรุ่นใหม่ ที่อ้างข้อมูลของโจเอล สไตน์ จาก “The National Institutes of Health” (สถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกา) พบว่า

คนรุ่นใหม่กว่า 80 ล้านคนในอเมริกาที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1980-2000 นั้นหลงตัวเองเป็นสามเท่าของคนรุ่นพ่อแม่ และกว่า 80% ของคนรุ่นนี้ที่มีอายุต่ำกว่า 23 ปี ต้องการได้งานที่มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่

คนรุ่นใหม่นั้นได้รับการปลูกฝังเลี้ยงดูภายใต้วัฒนธรรม “แค่เข้าร่วมก็ได้ประกาศนียบัตร” โดยไม่สนใจถึงประสิทธิผลหรือวิธีการหรือความสำคัญของการเข้าร่วม

ซึ่งทำให้พวกเขามักคิดว่า หากทำงาน พวกเขาควรได้รับการโปรโมตเลื่อนขั้นทุกๆ สองปีโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาที่ผลงานหรือประสิทธิภาพ

และจากข้อมูลดังกล่าว เขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Generation ME หรือกลุ่มที่มองตัวเองสำคัญที่สุด มองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอย่าง หรืออีกคำที่เขาเรียกว่าเป็นกลุ่มหลงตัวเอง

คนที่มี “บุคลิกภาพหลงตัวเอง” สรุปคร่าว ๆ มักจะมีอาการและพฤติกรรม ดังนี้
  1. ปฏิกิริยาต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยความโกรธแค้น สร้างความน่าละอาย/ขายหน้า และความอัปยศน่าอดสู
  2. เอาเปรียบผู้อื่น เพื่อตอบสนองความต้องการชนะ หรือวัตถุประสงค์ของตนเอง
  3. มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญมากเกินพอดี
  4. พูดขยายเกินกว่าความเป็นจริงเกี่ยวกับความสำเร็จหรือความสามารถของตนเอง
  5. มีใจหมกมุ่นกับจินตนาการความสำเร็จ พลัง อำนาจ ความงาม สติปัญญา หรือรักในอุดมคติ
  6. ใช้เหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผล กับสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ หลงใหล คาดหวัง
  7. ต้องการเป็นที่ชื่นชม ยอมรับและหลงใหลอยู่ตลอดเวลา
  8. เพิกเฉย ไม่เอาใจใส่ต่อความรู้สึกของผู้อื่น และมีความพยายามเพียงน้อยนิดที่จะแสดงความเห็นใจผู้อื่น
  9. คิดหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน์และความต้องการของตนเอง
  10. ไล่ตามเป้าหมายที่เห็นประโยชน์แก่ตนเอง

แม้จะมีความพยายามในการวิเคราะห์สาเหตุว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่และส่วนสำคัญที่สุดก็คือ การเลี้ยงดูของพ่อแม่มีส่วนอย่างมาก

แล้วเด็กแบบไหนกันที่มีแนวโน้มถูกเลี้ยงดูให้กลายเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ถูกเรียกว่า Generation ME !!

ประการแรก : ลูกเป็นศูนย์กลางของบ้าน

ถ้าเปรียบเทียบกับการเลี้ยงดูของชาวจีนก็ประมาณว่าจักรพรรดิน้อย ที่พ่อแม่คอยพะเน้าพะนอ อยากได้อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะกิน จะนอน จะเล่น จะเที่ยว จะให้ลูกเป็นผู้กำหนดตั้งแต่เล็ก ยกให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะรักลูกอยากตามใจลูก

โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้กำลังหล่อหลอมให้ลูกของเรากลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง และมองตัวเองสำคัญที่สุด ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น

ประการที่สอง : ลูกไม่เคยผิดหวัง

สืบเนื่องมาจากการเป็นศูนย์กลางของบ้าน เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านไม่เคยขัด และตามใจมาโดยตลอด จึงมักตอบสนองในทุกเรื่อง แม้บางเรื่องเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม

เช่น การที่ลูกอยากได้ของเล่นของคนอื่น พ่อแม่ก็จะต้องพยายามหาทางให้ลูกได้ของเล่นชิ้นนั้น ไปขอยืมมา หรือไม่ก็ต้องดิ้นรนหาซื้อของเล่นชิ้นใหม่จนได้ เป็นต้น

ประการที่สาม : ลูกไม่เคยแพ้

ในที่นี้เป็นเรื่องการแข่งขันที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็ก เป็นเด็กที่ต้องชนะ ไม่ว่าจเะเป็นการเล่นเกม หรือการเรียนก็ตาม

ยกตัวอย่าง พ่อแม่ที่เล่นกับลูก ถ้าเป็นเกมที่ต้องมีผู้แพ้ชนะ พ่อแม่มักยอมให้ลูกเป็นฝ่ายชนะตลอด เวลาลูกแพ้ ลูกมักร้องไห้หรืออารมณ์เสีย

แทนที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้จักการแพ้ชนะอย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องตามกฎกติกา และให้เขาได้รู้จักการจัดการกับอารมณ์นั้น

แต่พ่อแม่มักอ้างว่ารักลูก กลัวว่าลูกเสียใจก็เลยยอมแพ้ลูกตลอด จนเมื่อลูกต้องไปมีสังคมของเขาเอง เมื่อเขาแพ้ก็จะรู้สึกทนไม่ได้ ไม่ชอบหน้าอีกฝ่าย หรือบางทีก็กลายเป็นโกรธผู้นั้นไปเลย

ประการที่สี่ : ลูกไม่เคยลำบาก

ข้อนี้มักเกิดกับกลุ่มพ่อแม่ชนชั้นกลางขึ้นไป ที่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ยิ่งถ้าเป็นพ่อแม่ที่เคยผ่านความลำบากมาแล้ว ก็เลยมีความคิดว่าไม่อยากให้ลูกลำบากอีกต่อไป

ซึ่งเป็นความคิดและความเข้าใจที่ผิด เพราะความลำบากจะทำให้ลูกมีภูมิต้านทานชีวิตที่ดี

ประการที่ห้า : ลูกไม่เคยแก้ปัญหา

พ่อแม่จัดการแก้ปัญหาให้ลูกหมด เพราะคิดว่าลูกยังเด็ก ลูกคงแก้ปัญหาเองไม่ได้หรอก ทั้งที่บางเรื่องเป็นเรื่องเล็ก ๆ และเป็นเรื่องของเด็ก แต่พ่อแม่ก็ไม่ปล่อยวางให้ลูกได้ฝึกเจอสถานการณ์ด้วยตัวเอง

พ่อแม่เข้าไปแก้ปัญหาและจัดการให้หมด กลายเป็นจุ้นจ้านต่อชีวิตของลูกไปซะอีก เวลาลูกเจอปัญหาอะไรต้องให้เขาฝึกเผชิญด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นแล้ว เขาก็จะมองเห็นแต่ตัวเอง เมื่อเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะมองไม่เห็นปัญหาของคนอื่น หรือโทษว่าเพราะคนอื่นทำให้ฉันเกิดปัญหา

ประการที่หก : ลูกได้รับคำชื่นชมและชมเชยแบบพร่ำเพรื่อ

การชื่นชมหรือชมเชยหรือให้กำลังใจลูกเป็นเรื่องจำเป็น แต่ต้องมีความพอดีและเหมาะสมกำกับอยู่ด้วย เพราะถ้าชื่นชมมากเกินไป พร่ำเพรื่อเกินไปก็กลายเป็นสร้างปัญหาด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชื่นชมเพียงแค่เปลือก ชมที่ภายนอก

เช่น ชมว่าลูกแต่งตัวสวย หล่อ หรือหน้าตาดี แต่ไม่ได้ชมที่พฤติกรรมของการทำดี ก็จะทำให้ลูกหลงและถือดีว่าตัวเองหน้าตาดี และนำไปสู่อาการหลงตัวเองได้


ฝากทิ้งท้าย

ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วมีส่วนทำให้ลูกของคุณเข้าข่ายเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่คิดถึงตัวเอง หรือภาษาของคนชาวอเมริกันที่เขาบอกว่าเข้าข่ายหลงตัวเอง

จนถึงกับบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า “Generation ME” ที่ต้องการสะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่มักมองแต่ตัวเอง

จะว่าไปแล้วอีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เกิดพฤติกรรมหลงตัวเองก็คือ “สื่อยุคไร้พรมแดน” เพราะสื่อและเทคโนโลยีที่พุ่งเป้ามาที่ตัวเด็กโดยตรง

และมองว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สุดแสนจะโอชะ เพราะใช้เงินง่าย ตกเข้าไปในกระแสทุนนิยมก็ง่าย ยิ่งบรรดาสมาร์ทโฟนที่เด็กรุ่นใหม่ใช้กันเกลื่อนเมือง ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้กลุ่มคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มอย่างมากที่ก้าวเข้าสู่การเป็น Generation ME ได้ง่ายขึ้น

ตรงกันข้าม ถ้าเด็กเหล่านี้ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสมและถูกวิธี มีการปลูกฝังทักษะชีวิตที่เหมาะสมกับวัย เมื่อถึงวันที่กระแสบริโภคนิยมเข้ามาปะทะตัวเด็กเต็ม ๆ มีสื่อไฮเทคเข้ามาถึงบ้าน แต่ทักษะชีวิตที่ได้รับการปลูกฝังมาดี

เมื่อถึงเวลานั้น ทักษะที่มี มันจะทำหน้าที่ป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี

ข้อสอบภาษาอังกฤษ (อย่างฮา)

จงแปลประโยคสนทนาต่อไปนี้ให้เป็นภาษาไทย

1.Come on, man!!
A มานี่อย่างลูกผู้ชาย
B มาบนผู้ชาย
C มาเลย หมาน
D มาเลย เพื่อน

2.Can you finish all of them?
A กระป๋อง.. คุณเสร็จพวกมันแล้ว
B ความสามารถของคุณ จะสำเร็จทั้งหมดของมันหรือ?
C คุณจัดการให้เสร็จเลยได้มั๊ย?
D คุณเอามันทั้งหมดเลยได้ไหม?

4.Shut up, baby
A หุบปากซะที่รัก
B ปิดประตูซะเด็กน้อย
C ปิดข้างบนที่ตุ๊กตาบาบี้
D ขึ้นไปปิดทารกซะ

5.Honey , I've had a crush on you since high school
A คุณน้ำผึ้ง ผมชนคุณในสมัยโรงเรียนมัธยม
B ที่รัก, ฉันทำให้เธอเสียรูปทรงที่โรงเรียนเมื่อยังสูง
C ที่รัก ผมตกหลุมรักคุณตั้งแต่สมัยม.ต้น
D น้ำผึ้ง,ฉันได้ชนคุณมาตั้งแต่ที่โรงเรียนสูง

6.May the Force be with you
A ขอพลังจงอยู่กับตัวเจ้า
B บางทีพลังแห่งผึ้งอาจอยู่กับคุณ
C แรงแห่งพฤษภาจะอยู่กับคุณ
D บางทีพลังอาจจะคู่คุณ

7.Don't worry, I got your back cover
A อย่าห่วง ฉันจะคุ้มกันหลังให้เอง
B อย่ากังวลฉันเลย เอาปกสีดำเถอะ
C ไม่กังวลฉันเอาหลังของคุณ
D อย่าห่วง ฉันจะเอาที่ปิดก้นคุณ

8.Oh shit man!! What the hell is this?
A โอ้ มนุษย์อุจจาระ นรกคืออะไร?
B โอ้ ขี้คนผู้ชายอะไรนรกคือสิ่งนี้?
C บัดซบแล้วเพื่อน นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย?
D โอ้ ผู้ชายขี้ อะไรคือนรกที่นี่

9.Hey…Give me a break man !!
A เฮ้ย ให้มันแตกหักกันไปเลยดีกว่า !!
B เฮ่…ให้ฉันได้พักก่อนสิวะเพื่อน
C ให้ฉันได้เป็นมนุษย์แตกหัก!!
D สวัสดี ให้ฉันหักคน

10.Oh mother damn! She shot at you with her eye close
A โอ้สาบแช่งแม่เธอยิงประตูด้วยตาของเธอที่ถูกปิดที่คุณ
B โอ มารดาแห่งเขื่อน เธอถ่ายรูปที่คุณดวงตาด้วยตาที่ใกล้
C แม่งเอ๊ยย…เธอยิงคุณทั้งๆที่หลับตาอยู่
D โอ้แม่ไม่ดี เธอยิงคุณด้วยนัยน์ตาที่ปิดอยู่

ดูแลสุขภาพก่อนลุกตื่นจากที่นอน

ปฏิบัติการ 9 ข้อ 9 นาที (起床前九个“一分钟”)

เคยพบเห็นอุบัติการณ์บ่อยๆ ของคนสูงอายุที่ตื่นมากลางดึกเข้าห้องน้ำ แล้วอยู่ๆ ก็เป็นลมหมดสติอยู่ในห้องน้ำต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล บางคนลุกขึ้นจากที่นอนอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกหรือตกใจ หรือไม่ทันตั้งตัว ก็มีอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต บางทีเรียกช่วงเวลานี้ว่าเป็น “เวลาแห่งภูตผีปีศาจ (魔鬼时间 )

ช่วงเวลานอนหลับ สมองใหญ่ของคนเราอยู่ระหว่างผ่อนคลาย การไหลเวียนของเลือดทั้งร่างกายน้อย ปริมาณเลือดก็น้อย(เนื่องจากตอนหลับ 6 – 8 ชั่วโมง ไม่ได้มีการรับประทานอาหารและน้ำเข้าสู่ร่างกาย มีแต่การเสียน้ำเสียเหงื่อ รวมทั้งกรองเป็นปัสสาวะ) ถ้าร่างกายเปลี่ยนสภาพจากนอนหลับเป็นตื่นทันที จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันสูงขึ้นทันที ความต้องการเลือดของสมองและหัวใจมีมากขึ้น แต่ระบบประสาทอัตโนมัติของคนสูงอายุจะปรับตัวไม่ดีเหมือนตอนหนุ่มสาว (โดยเฉพาะถ้ามีโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง หรือร่างกายมีโรคเรื้อรังอยู่แล้ว) จึงเกิดอุบัติเหตุ เช่น เวียนศีรษะ เป็นลม หกล้ม จนกระทั่งการเกิดภาวะเส้นเลือดสมองตีบแตก หรือหัวใจขาดเลือดได้ง่าย

เทคนิคปฏิบัติ 9 ข้อ 9 นาที จะเป็นการเตรียมตัว ก่อนลุกจากที่นอนโดยเฉพาะคนสูงอายุ
  1. ใช้นิ้วมือหวีผม 1 นาที (手指梳头一分钟) จากหน้าผากถึงท้ายทอย เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณสมอง ป้องกันโรคหลอดเลือดในสมอง และทาให้ผมดกเงางาม 
  2. นวดหูเบาๆ 1 นาที (轻揉耳轮一分钟) นวดขอบหูเบาๆ ซ้ายขวาทั้งสองข้าง จากขอบหูบนสู่ขอบหูล่างจนเกิดความรู้สึกร้อนผ่าว แล้วนวดในแอ่งหูทุกแอ่งรวมทั้งใช้นิ้วแหย่เข้าในรูหูและกระตุ้นเบาๆ เนื่องจากใบหูมีจุดสะท้อนร่างกายทั่วร่างกาย การกระตุ้นใบหูจึงเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดทั้งร่างกาย 
  3. เคลื่อนไหวดวงตา 1 นาที (转动眼睛一分钟) ปิดเปลือกตา แล้วกลอกตาตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาสลับกัน เพิ่มกาลังกล้ามเนื้อตา และกระตุ้นการทางานของตับ 
  4. ขบฟันเบาๆ และเคลื่อนไหวม้วนลิ้น 1 นาที (轻叩牙齿和卷舌) เพื่อกระตุ้นเลือดพลัง กระตุ้นฟัน กระตุ้นไต และเพิ่มการเคลื่อนไหวของลิ้น ซึ่งเหมือนการเคลื่อนไหวเลือดพลังทั่วร่างกาย 
  5. เคลื่อนไหวแขนขา 1 นาที (透过伸屈运动)โดยการยืดแขนเข้าออก กระตุ้นการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย เพิ่มการไหลเวียนเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ และส่งไปเลี้ยงสมอง 
  6. นวดบริเวณสะดือ ขึ้นลงเบาๆ 1 นาที (轻摩肚脐一分钟 ) แนวด้านบนสะดือมีจุดฝังเข็มที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มพลังหยวนซี่ของร่างกาย เป็นจุดเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในด้วย ทาให้เสริมกระตุ้นให้พลังร่างกายหมุนเวียนดีขึ้น 
  7. ขมิบก้น ดึงขึ้นแล้วผ่อนคลาย 1 นาที (收腹提肛一分钟 )การขมิบก้นเป็นการเพิ่มการพยุงดึงรังของไต ป้องกันริดสีดวง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ 
  8. นวดฝ่าเท้า 1 นาที (蹬摩脚心一分钟) นอนหงาย ยกขาทาท่าถีบจักรยานขึ้นบนลงล่างสลับกัน ใช้ฝ่าเท้า 2 ข้างถูกันจนกระทั่งมีความรู้สึกร้อนที่ฝ่าเท้า เป็นการกระตุ้นทั่วร่างกาย กระตุ้นความอยากอาหารและกระตุ้นสมอง 
  9. พลิกตัวซ้ายขวา 1 นาที (左右翻身一分钟 ) เพื่อเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อส่วนเอว และไขสันหลัง เป็นการปรับพลังไตและประสาทอัตโนมัติ ไตถือเป็นรากฐานชีวิต แกนกลางร่างกายเป็นเส้นลมปราณควบคุมพลังหยินหยางของร่างกายทั้งหมด 

ปฏิบัติ 9 ข้อ 9 นาที นอกจากจะเป็นการปฏิบัติเพื่อเตรียมร่างกายหรือปรับตัวก่อนลุกจากที่นอน ( 起床前九个“一分钟”) เหมาะสาหรับการดูแลสุขภาพของคนที่ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียง คนสูงอายุ ยังสามารถนามาประยุกต์ใช้กับท่านั่ง ท่ายืน หรือขณะทำงานได้ โดยเลือกท่าตามความเหมาะสม ถือเป็นการดูแลที่ง่ายและสะดวก ปัญหาอยู่ที่ว่าจะลงมือทำหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ทายคนตามวันที่

คุณเกิดวันที่เท่าไหร่กัน?
  1. เป็นคนรักเสรี กล้าหาญ และไม่ก้มหัวให้ใคร
  2. เพื่อนเป็นคนสำคัญ
  3. ท่านคือ เพื่อนที่แสนดี
  4. จริงใจและมั่นคง
  5. นักอุดมการณ์ หรือบางทีก็เผด็จการ
  6. อยู่ได้ด้วยความรัก
  7. นักเล่าประสบการณ์
  8. ทุกอย่างต้องพร้อม
  9. เจ้าความคิด
  10. แข็งหรือไม่ก็แกร่ง
  11. แม้จะเจ้าอารมณ์ แต่ก็สร้างสรรค์
  12. คนเก่งที่มีเพื่อนน้อย
  13. น่ารักน่าคบ
  14. น่ารักน่าคบ
  15. เห็นง่าย รู้จักยาก
  16. ไม่ลุ่มหลงอะไรง่ายๆ
  17. สมบูรณ์แบบ
  18. ที่ปรึกษาผู้เคร่งครัด
  19. เปี่ยมด้วยกำลังภายใน
  20. อารมณ์เหมือนใบไม้ไหว แต่น่ารัก
  21. นุ่มนวล เจ้าเสน่ห์
  22. คงเส้นคงวา
  23. ตัวเองคือความมั่นใจ
  24. มีน้ำใจไมตรี
  25. รวงข้าวที่มีเมล็ดมาก
  26. สุขุม มองไกล
  27. ซื่อสัตย์ยุติธรรม ประจำใจ
  28. เรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียง
  29. รักใครไม่ผันแปร
  30. ทรราชย์น้อย
  31. ต้องการกำลังใจ

เคล็ดลับ 20 ข้อ เพื่อชีวิตที่ดี


  1. หาเวลาเดินทุกวัน อย่างน้อยวันละ 10-30 นาที และควรยิ้มไปด้วย
  2. หัดนั่งอยู่เงียบๆ อย่างน้อยวันละ 10 นาที
  3. กินอาหารจากพืชให้มากขึ้น ลดการกินอาหารจากโรงงาน
  4. ดื่มน้ำเยอะๆ กินบลูเบอรี่ บร๊อคคอรี่ และอัลมอนด์เป็นประจำ
  5. ทำให้คนอื่นยิ้ม อย่างน้อยวันละ 3 คน
  6. อย่าเสียเวลากับเรื่องซุบซิบนินทา เรื่องไม่ดีที่ผ่านไปแล้ว และสิ่งต่างๆ ที่นอกเหนือการควบคุม แต่ควรทุ่มเวลากับสิ่งที่เป็นประโยชน์ในปัจจุบัน
  7. กินมื้อเช้าเยี่ยงราชา มื้อกลางวันเยี่ยงเจ้าชาย มื้อเย็นเยี่ยงยาจก
  8. ชีวิตไม่มีคำว่าเท่าเทียม แต่มันก็ยังดีอยู่
  9. ชีวิตนี้สั้นเกินไปที่จะเสียเวลาไปกับการเกลียดใคร ให้อภัยคนนั้นในทุกเรื่อง
  10. ไม่จำเป็นต้องชนะในทุกเรื่อง หัดเห็นด้วยกับเรื่องที่ไม่เห็นด้วยบ้างก็ได้
  11. อย่ายึดมั่นถือมั่นตัวเองมากเกินไป เพราะคนอื่นเขาไม่คิดเหมือนคุณ
  12. ปล่อยให้อดีตอยู่อย่างสงบสุข เพื่อที่จะได้ไม่มารบกวนชีวิตปัจจุบัน
  13. อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าเขาเคยเจออะไรมาแล้วบ้าง
  14. ไม่มีใครต้องมารับผิดชอบความสุขในชีวิตคุณ ยกเว้นตัวคุณ
  15. เวลาเกิดเรื่องที่คุณคิดว่า ร้ายแรงมากต่อความรู้สึก ให้ถามตัวเองต่อว่า อีก 5 ปีข้างหน้า ยังคิดแบบเดิมหรือไม่
  16. ให้ความช่วยเหลือแก่คนที่ต้องการ จงเป็นคนใจกว้าง และควรเป็นผู้ให้ ไม่ใช่ผู้รับ
  17. สิ่งที่ผู้อื่นคิดเกี่ยวกับตัวคุณ ไม่ใช่เรื่องของคุณ ดังนั้นไม่ต้องใส่ใจมากนักก็ได้
  18. เวลา คือ ผู้เยียวยาทุกสิ่ง
  19. ไม่ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะดีหรือแย่ มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด
  20. การงานที่คุณทำ ไม่ได้ช่วยเหลือคุณเวลาเจ็บป่วย แต่เพื่อนแท้ช่วยคุณได้ จงแบ่งเวลาพบปะเพื่อนบ้าง